-
แจ้งเตือนสำคัญ: ระวังเพจปลอมแอบอ้างชื่อ ManpowerGroup Thailand
18 December 2024 ขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า ขณะนี้มีผู้ไม่หวังดีสร้างเพจปลอมโดยใช้ชื่อเดียวกับเพจ ManpowerGroup Thailand ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนและเสียหายได้ หากคุณพบเห็นโพสต์รับสมัครงานในชื่อ "ManpowerGroup Thailand" บน Facebook โพสต์นั้นเป็นการหลอกลวง โปรดอย่าคลิกลิงก์ใด ๆ ที่แนบมากับโพสต์เหล่านั้นโปรดตรวจสอบก่อนติดตามหรือให้ข้อมูลใด ๆ โดยสามารถยืนยันข้อมูลได้จาก:Line Official: @manpowergroup_th Email: [email protected]: 02-171-2345หากพบเห็นเพจปลอมดังกล่าว เราขอความกรุณาช่วยกด รายงาน (Report) ไปที่ Facebook เพื่อป้องกันการหลอกลวงขอบคุณทุกท่านที่ให้ความร่วมมือ และช่วยกันรักษาความปลอดภัย
-
เงินเดือนเท่าไรเสียภาษี ? สิทธิลดหย่อนภาษีที่ HR ควรรู้
17 December 2024 เพราะการทำงานและผลตอบแทนจากเงินเดือนเป็นสิ่งสำคัญของพนักงาน ฝ่าย HR ที่รับผิดชอบดูแลเรื่องการเงินและสวัสดิการ จึงต้องคอยอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับภาษีให้กับเหล่าพนักงานทุกคน โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มงานหรือยังไม่เข้าใจเรื่องภาษีอย่างถ่องแท้ เพราะอาจมีข้อสงสัยว่า ใครบ้างที่ต้องเสียภาษี ? หรือต้องมีฐานเงินเดือนเท่าไรที่เข้าข่ายเสียภาษีการเข้าใจเรื่องภาษีอย่างรอบด้าน และสิทธิ์การลดหย่อนภาษีสำหรับพนักงานปี 2567 สำหรับยื่นต้นปี 2568 จะช่วยให้การวางแผนการเงินของเหล่าพนักงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นใครบ้างที่ต้องเสียภาษี ?การเสียภาษีเป็นหน้าที่พื้นฐานของประชาชนตามกฎหมาย ซึ่งทุกคนที่มีรายได้จะต้องยื่นภาษีตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามกฎหมายของประเทศไทย บุคคลที่มีรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี (หรือเฉลี่ยประมาณ 26,583.33 บาทต่อเดือน) ไม่จำเป็นต้องเสียภาษี แต่จะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีปีละครั้งภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไปรายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ?แต่หากสงสัยว่า รายได้เท่าไหร่เสียภาษี ? การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะขึ้นอยู่กับระดับของรายได้สุทธิ ซึ่งเป็นรายได้ทั้งหมดที่หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว โดยอัตราภาษีที่ใช้คำนวณมีหลายระดับ ดังนี้อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้สุทธิอัตราภาษีไม่เกิน 150,000 บาท0% (ไม่ต้องเสียภาษี)150,001 - 300,000 บาท5%300,001 - 500,000 บาท10%500,001 - 750,000 บาท15%750,001 - 1,000,000 บาท20%1,000,001 - 2,000,000 บาท25%2,000,001 - 5,000,000 บาท30%5,000,001 บาท ขึ้นไป35%เงินได้สุทธิที่ใช้ในการคำนวณภาษีจะเป็นรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนภาษีที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการคำนวณภาษีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพQ&A เกี่ยวกับการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาQ : เอกสารประกอบการยื่นแบบมีอะไรบ้าง ?สำหรับพนักงานที่มีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว จะต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 91 โดยเอกสารประกอบหลักคือ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการยื่นภาษี หากมีการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม เช่น ประกันชีวิต กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือใบอนุโมทนาบัตร ก็สามารถนำมารวมในการยื่นภาษีได้Q : สามารถยื่นภาษีด้วยวิธีไหนได้บ้าง ?การยื่นภาษีสามารถทำได้หลายช่องทาง ดังนี้ยื่นภาษีออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร http://www.rd.go.th/ ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและง่ายที่สุดยื่นภาษีผ่านแอปพลิเคชัน RD Smart Tax (iOS/Android) ทำให้สามารถยื่นภาษีได้ทุกที่ทุกเวลสามารถใช้วิธีลดหย่อนภาษี ได้จากอะไรบ้าง ?การยื่นภาษีปี 2567 ที่ต้องยื่นในช่วงต้นปี 2568 ผู้เสียภาษีสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้หลายรูปแบบ ทั้งจากค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายของครอบครัว และการลงทุนต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด โดยมีรายละเอียดดังนี้1. ค่าลดหย่อนทั่วไปค่าลดหย่อนส่วนตัว : ลดหย่อนได้ 60,000 บาท สำหรับตัวเองหรือผู้ที่อาศัยร่วมในครัวเรือนค่าลดหย่อนบิดามารดา : ลดหย่อนได้ 30,000 บาทต่อคน สำหรับบิดามารดาที่อายุเกิน 60 ปี และมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทค่าลดหย่อนคู่สมรส : ลดหย่อนได้ 60,000 บาท หากคู่สมรสจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีรายได้ (จำกัด 1 คน)ค่าลดหย่อนสำหรับบุตร : บุตรคนแรกลดหย่อนได้ 30,000 บาท บุตรคนที่สองเป็นต้นไป ที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาทค่าลดหย่อนภาษีอุปการะผู้พิการหรือบุคคลทุพพลภาพ : ลดหย่อนได้ 60,000 บาทต่อคน โดยผู้พิการจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และมีบัตรประจำตัวผู้พิการ รวมถึงจะต้องมีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร : ลดหย่อนได้สูงสุดครรภ์ละ 60,000 บาท หากทั้งสามีและภรรยายื่นภาษีทั้งคู่ จะให้สิทธิลดหย่อนนี้แก่ภรรยาเท่านั้น2. ค่าลดหย่อนกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุนเงินประกันสังคม : ลดหย่อนได้สูงสุด 9,000 บาทประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์ : ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท* โดยกรมธรรม์ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองอย่างน้อย 10 ปีประกันสุขภาพ : ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท* รวมถึงค่าประกันสุขภาพที่จ่ายให้พ่อแม่ ลดหย่อนได้สูงสุดคนละ 15,000 บาทกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) : ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาทกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) : ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาทกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) : ลดหย่อนได้สูงสุด 30,000 บาทกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ : ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท*ประกันชีวิต ประกันสะสมทรัพย์ และสุขภาพ ต้องรวมกันไม่เกิน 100,000 บาท3. ค่าลดหย่อนอื่น ๆการบริจาค : ลดหย่อนได้สูงสุด 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน สำหรับการบริจาคให้กับองค์กรสาธารณกุศลที่ได้รับการรับรองเงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม : ลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนEasy e-Receipt 2567 : ลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าหรือบริการที่มีใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ค่าลดหย่อนเที่ยวเมืองรอง 2567 : ลดหย่อนได้สูงสุด 15,000 บาท สำหรับการท่องเที่ยวในจังหวัดรอง 55 จังหวัดค่าสร้างบ้านใหม่ 2567-2568 : ลดหย่อนได้ 10,000 บาท ต่อทุก 1 ล้านบาทของค่าก่อสร้าง (รวม VAT) สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทบริการ Payroll Service : ตัวช่วยของเหล่าพนักงาน ง่ายต่อการยื่นภาษีการใช้บริการ Payroll Service หรือบริการรับทำเงินเดือน เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับธุรกิจที่ต้องการลดภาระงานด้านการเงินและบุคลากร ซึ่งการใช้บริการนี้ จะสามารถช่วยให้ธุรกิจไปโฟกัสกับงานหลักได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งการจ้างผู้เชี่ยวชาญในการคำนวณและจัดการเรื่องเงินเดือน ยังจะช่วยให้เหล่าพนักงานเห็นภาพรวมของรายได้ และง่ายต่อการนำไปยื่นเรื่องภาษีได้อย่างถูกต้อง จึงเพิ่มความสะดวกสบายและลดความผิดพลาดในการคำนวณภาษีให้กับพนักงานนอกจากนี้ การใช้บริการ Payroll Outsourcing ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานฝ่ายการเงินภายในองค์กร ซึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ อีกด้วย การเข้าใจเรื่องที่ต้องรู้ ระหว่างเรื่องเงินเดือนกับภาษีจึงเป็นของคู่กัน ทั้งยังเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เหล่าพนักงานสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการคำนวณเงินเดือน หรืออยากช่วยอำนวยความสะดวกด้านการจ่ายภาษีให้แก่พนักงาน สามารถใช้บริการ Payroll Service หรือรับทำ Payroll Service จาก Manpower หมดกังวลเรื่องข้อมูลด้านผลตอบแทนรั่วไหล เราพร้อมบริการจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 70 ปี สนใจรับคำปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อเราได้เลยวันนี้ข้อมูลอ้างอิงเงินเดือนเท่าไหร่ถึงต้องเสียภาษี 2567 ? พร้อมวิธีคำนวณภาษี. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 จาก https://www.moneybuffalo.in.th/tax/income-taxสรุปวิธีคำนวณภาษี ปี 2567: จับมือสอนตั้งแต่เริ่มต้น ครบจบทุกขั้นตอน. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 จาก https://www.finnomena.com/z-admin/tax-computation
-
ผลสำรวจแนวโน้มอัตราการจ้างงาน ไตรมาสที่ 1/2568
10 December 2024 แนวโน้มการจ้างงานใน APAC ยังคงทรงตัว ท่ามกลางมุมมองที่ระมัดระวังของนายจ้างผลการสำรวจแนวโน้มการจ้างงานล่าสุดจาก ManpowerGroup Employment Outlook Survey เผยให้เห็นทิศทางการจ้างงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) สำหรับไตรมาสแรกของปี 2025 แม้นายจ้างยังคงวางแผนจ้างงานอย่างระมัดระวัง แต่ทิศทางยังคงทรงตัว โดยดัชนีแนวโน้มการจ้างงานสุทธิ (Net Employment Outlook: NEO) อยู่ที่ 27% ซึ่งเท่ากับไตรมาสก่อนหน้า และลดลงเพียงเล็กน้อย 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วข้อมูลสำคัญดัชนีแนวโน้มการจ้างงานสุทธิ (NEO): +27% สำหรับไตรมาส 1 ปี 2025 (คงที่จากไตรมาส 4 ปี 2024 และลดลง 3% จากไตรมาส 1 ปี 2024)ประเทศที่มีแนวโน้มการจ้างงานสูงสุด: อินเดีย (+40%), จีน (+29%), และสิงคโปร์ (+25%)ประเทศที่มีมุมมองการจ้างงานต่ำที่สุด: ฮ่องกง (+6%)อุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานสูงสุด: การเงินและอสังหาริมทรัพย์ (+39%), ไอที (+38%), และสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวิต (+31%)องค์กรขนาดใหญ่: บริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 5,000 คน รายงานแนวโน้มการจ้างงานสูงสุดที่ +37%เจาะลึกข้อมูลเพิ่มเติมการสำรวจครั้งนี้ครอบคลุมความคิดเห็นของนายจ้างกว่า 40,000 รายจาก 42 ประเทศ ระหว่างวันที่ 1-31 ตุลาคม 2024 โดยพบว่านายจ้างในภูมิภาค APAC ยังคงเดินหน้าจ้างงานในอัตราที่มั่นคง ท่ามกลางความไม่แน่นอนในระดับโลกFrancois Lancon ประธานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง กล่าวว่า“เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นว่านายจ้างในภูมิภาค APAC ยังคงมีแผนจ้างงานอย่างต่อเนื่องในไตรมาสแรก ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความยืดหยุ่นของนายจ้างที่มุ่งมั่นค้นหาบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต”ทำความเข้าใจกับดัชนีแนวโน้มการจ้างงานสุทธิ (NEO)NEO เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนแนวโน้มของตลาดแรงงาน โดยคำนวณจากเปอร์เซ็นต์ของนายจ้างที่มีแผนจ้างงาน หักลบด้วยเปอร์เซ็นต์ของนายจ้างที่มีแผนลดจำนวนพนักงาน ซึ่งทำให้เป็นดัชนีที่เชื่อถือได้สำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มการจ้างงานทั่วโลกแนวโน้มการจ้างงานตามภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC)ดัชนีแนวโน้มการจ้างงานโดยรวม: +27%อินเดีย: ยังคงเป็นผู้นำด้านการจ้างงานในระดับโลก ด้วยดัชนี +40%จีน: รายงานแนวโน้มการจ้างงานในอุตสาหกรรมการเงินและอสังหาริมทรัพย์สูงถึง +53% และสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวิต +47%สิงคโปร์: นำอันดับโลกในอุตสาหกรรมขนส่ง โลจิสติกส์ และยานยนต์ ด้วยดัชนีที่น่าประทับใจ +67%อเมริกาดัชนีแนวโน้มการจ้างงานโดยรวม: +29%สหรัฐฯ: แนวโน้มการจ้างงานแข็งแกร่งที่ +34% ตามด้วยเม็กซิโกที่ +32%อาร์เจนตินา: เป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่มีแนวโน้มการจ้างงานติดลบ (-1%) สะท้อนถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA)ดัชนีแนวโน้มการจ้างงานโดยรวม: +19%เบลเยียม: นำในอุตสาหกรรมการเงินและอสังหาริมทรัพย์ที่ +53% และพลังงานและสาธารณูปโภคที่ +44%เยอรมนี: รายงานแนวโน้มการจ้างงานสูงสุดในอุตสาหกรรมการสื่อสาร (+45%) สะท้อนการลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลผลการสำรวจ ManpowerGroup Employment Outlook Survey สำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 สะท้อนถึงความระมัดระวังแต่มั่นคงของนายจ้างในภูมิภาค APAC ที่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายและโอกาสในอนาคต ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนหากต้องการดูข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม รวมถึงผลสำรวจทั่วโลก สามารถติดตามได้ที่ลิ้งก์นี้ และรอติดตามการสำรวจครั้งถัดไปในเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งจะเผยแนวโน้มการจ้างงานสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2568กรอกข้อมูลของท่าน เพื่อดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม
-
Probation คืออะไร ? ทุกเรื่องที่ HR และพนักงานต้องรู้
22 November 2024 ช่วงเวลาทดลองงาน (Probation) คือระยะเวลาสำคัญที่ทั้งบริษัทและพนักงานจะได้เรียนรู้และประเมินความเหมาะสมซึ่งกันและกัน เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถทำงานร่วมกันได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจยังไม่เข้าใจถึงขั้นตอนนี้อย่างถ่องแท้ ดังนั้น เราจึงจะพามาเจาะลึกถึงสิ่งที่ฝ่ายบุคคลและพนักงานควรต้องรู้ เพื่อให้ผ่านช่วงการทดลองงานไปได้อย่างราบรื่นช่วงเวลาทดลองงาน (Probation) คืออะไร ?Probation Period หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ "การทดลองงาน" คือช่วงเวลาที่ทั้งบริษัทและพนักงานใหม่จะได้มีโอกาสทำความรู้จักและประเมินซึ่งกันและกัน โดยบริษัทจะทำการประเมินความสามารถ ทักษะ และทัศนคติของพนักงานใหม่ ในขณะที่พนักงานเองก็จะได้เรียนรู้ว่าลักษณะงาน วัฒนธรรมองค์กร และสภาพแวดล้อมการทำงานนั้นตรงกับที่คาดหวังไว้หรือไม่ ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะตัดสินใจว่าเหมาะสมที่จะร่วมงานกันในระยะยาวทำไมต้องมี Probation ?ประเมินทักษะและความสามารถจริง : ถึงแม้พนักงานจะผ่านการสัมภาษณ์มาแล้ว แต่การทำงานจริงนั้นมักแตกต่างจากทางทฤษฎี ดังนั้น ช่วงทดลองงานจึงเป็นโอกาสทองที่นายจ้างจะได้เห็นทักษะและความสามารถในสภาพแวดล้อมการทำงานจริงของพนักงานใหม่ ดูความเข้ากันกับวัฒนธรรมองค์กร : เพราะวัฒนธรรมองค์กรส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพและความสุขในการทำงาน ช่วงทดลองงานจึงช่วยให้เห็นได้ชัดว่า พนักงานสามารถทำงานเป็นทีมและสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานได้ดีแค่ไหนลดความเสี่ยงการจ้างงาน : เมื่อนายจ้างได้ประเมินพนักงานอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจจ้างระยะยาว จะช่วยประหยัดในด้านทรัพยากรต่าง ๆ และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้เปิดโอกาสให้เรียนรู้และปรับตัว : ในช่วงนี้ พนักงานจะได้เรียนรู้ทั้งระบบงาน วัฒนธรรม และวิธีการทำงานต่าง ๆ พร้อมกับมีเวลาค่อย ๆ ปรับตัวให้เข้ากับองค์กรได้อย่างเป็นธรรมชาติสร้างความชัดเจนในการทำงาน : ทั้งสองฝ่ายจะได้สื่อสารถึงความคาดหวังและเป้าหมายร่วมกัน โดยพนักงานจะได้รับ Feedback อย่างสม่ำเสมอเพื่อพัฒนาตนเอง ซึ่งจะช่วยให้การทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในระยะยาวผ่านโปรฯ (Probation Period) ใช้เวลากี่เดือน ?โดยทั่วไป Probation Period หรือระยะเวลาผ่านโปรฯ คือประมาณ 3-6 เดือน อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาอาจแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่าง ๆ เช่นตำแหน่งงาน : สำหรับตำแหน่งที่ต้องการความรับผิดชอบสูงหรือเฉพาะทางมาก ๆ เช่น ผู้บริหารระดับสูง หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มักจะใช้ระยะเวลาทดลองงานที่นานขึ้น เพื่อให้มั่นใจในศักยภาพและความเหมาะสมอย่างแท้จริงขนาดขององค์กร : องค์กรขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างซับซ้อนและมีขั้นตอนการทำงานที่หลากหลาย มักต้องใช้เวลามากขึ้นในการประเมินผล เพราะต้องดูทั้งเรื่องการปรับตัวเข้ากับระบบและการทำงานร่วมกับหลายฝ่ายนโยบายของบริษัท : แต่ละองค์กรจะมีนโยบายเฉพาะเกี่ยวกับระยะเวลาทดลองงานที่แตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมองค์กร เป้าหมาย และกลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคลของแต่ละที่กฎหมายเกี่ยวกับการทดลองงานการทดลองงานนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของการประเมินผลงาน แต่ยังมีประเด็นทางกฎหมายที่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนด้วย เพื่อปกป้องสิทธิของทั้งสองฝ่ายและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต มาดูกันว่ามีประเด็นสำคัญอะไรบ้างการระบุเงื่อนไขในสัญญาจ้างนายจ้างต้องระบุเงื่อนไขการทดลองงานในสัญญาจ้างให้ชัดเจน โดยเฉพาะระยะเวลาทดลองงานที่มักกำหนดไว้ไม่เกิน 119 วัน (เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน) พร้อมทั้งต้องระบุเกณฑ์การประเมินผลงานที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม เพื่อความโปร่งใสในการพิจารณาและป้องกันข้อพิพาทในอนาคตระยะเวลาทดลองงานถึงแม้ว่ากฎหมายจะไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่ตายตัว แต่โดยมาตรฐานทั่วไปมักอยู่ที่ 3-6 เดือน ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องขยายระยะเวลา ทั้งนายจ้างและลูกจ้างควรตกลงด้วยลายลักษณ์อักษรร่วมกันการประเมินผลงานเพื่อความเป็นธรรม นายจ้างควรประเมินผลการทดลองงานอย่างเป็นทางการอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยต้องบันทึกผลเป็นลายลักษณ์อักษร มีหลักฐานการแจ้งผลและให้คำแนะนำแก่พนักงานอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการถูกฟ้องร้องเรื่องการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมในภายหลังสิทธิตามกฎหมายแรงงานเมื่อเริ่มทดลองงาน พนักงานจะมีสถานะเป็น "ลูกจ้าง" เช่นเดียวกับพนักงานประจำทันที จึงได้รับสิทธิและความคุ้มครองตามกฎหมายตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิลาป่วย ลากิจ การคุ้มครองจากประกันสังคม รวมถึงสวัสดิการต่าง ๆ ตามที่บริษัทกำหนดการบอกเลิกจ้างหากต้องการเลิกจ้างในระหว่างทดลองงาน ต้องแจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้าตามที่ระบุในสัญญา หากไม่แจ้งล่วงหน้าต้องจ่ายค่าชดเชยแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และต้องระบุเหตุผลการเลิกจ้างที่ชัดเจน เช่น ผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์ หรือกระทำผิดร้ายแรงการพิจารณาค่าชดเชยกรณีพนักงานทำงานไม่ครบ 120 วัน นายจ้างไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชย อย่างไรก็ตาม หากเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เช่น ไม่มีการประเมินผลงานที่ชัดเจน หรือเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร พนักงานมีสิทธิฟ้องร้องเพื่อขอรับค่าชดเชยตามกฎหมายได้ช่วงทดลองงานเป็นโอกาสที่ทั้งองค์กรและพนักงานจะได้ดูถึงความเหมาะสมซึ่งกันและกัน แต่ความท้าทายที่แท้จริงคือ การสรรหาคนที่ใช่ตั้งแต่แรก ที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการคัดกรองคนให้ตรงกับธุรกิจด้วยเหตุนี้ Manpower ในฐานะบริษัท Recruitment ระดับโลกที่ติดอันดับ Fortune 500 Companies จึงพร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่คุณไว้วางใจได้ ด้วยทีมงานมืออาชีพที่เข้าใจความต้องการของตลาดแรงงานอย่างลึกซึ้ง และประสบการณ์กว่า 70 ปีในการสรรหาบุคลากร พร้อมเครือข่ายที่ครอบคลุมใน 75 ประเทศทั่วโลก บริษัทจัดหางานของเราพร้อมช่วยคุณค้นหาบุคลากรที่มีคุณภาพและตรงใจ หากกำลังมองหาพนักงานเก่ง ๆ หรือต้องการคนด่วน ติดต่อเราได้เลยวันนี้ !ข้อมูลอ้างอิงไม่ผ่านการทดลองงานมีสิทธิได้รับค่าชดเชย หรือต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ ?. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 จาก https://area3.labour.go.th/2015-12-03-04-55-08/1023-ไม่ผ่านการทดลองงานมีสิทธิได้รับค่าชดเชย-หรือต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่.
-
เด็กจบใหม่ vs. คนมีประสบการณ์ บริษัทควรเลือกใครเข้าทำงาน ?
22 November 2024 การตัดสินใจเลือกพนักงานเข้าร่วมทีมถือเป็นหนึ่งในงานที่สำคัญที่สุดของฝ่ายบุคคล เพราะบุคลากรที่มีคุณภาพ คือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องพิจารณาว่า ควรเลือกระหว่าง "เด็กจบใหม่" ที่มีไฟและความคิดสร้างสรรค์เต็มเปี่ยม หรือ "คนที่มีประสบการณ์" ที่มีความเชี่ยวชาญและพร้อมลุยงานได้ทันที ฝ่ายบุคคลหรือ HR อาจเกิดความสับสนและลังเลใจว่าควรเลือกใครดี ?เด็กจบใหม่ : พลังงานและความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัดในตลาดหางานปัจจุบัน เด็กจบใหม่มีจำนวนมากขึ้น ถ้ามองในแง่ของการลงทุนระยะยาว พวกเขาเปรียบเหมือนแผ่นกระดาษเปล่าที่พร้อมจะถูกเติมแต่งและหล่อหลอมให้เติบโตไปพร้อมกับองค์กร แม้อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนา แต่ก็มาพร้อมกับศักยภาพที่น่าสนใจหลายด้าน ดังนี้ข้อดีความคิดสร้างสรรค์ - เด็กจบใหม่มักมาพร้อมกับมุมมองที่แปลกใหม่และไอเดียที่สดใส เนื่องจากยังไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบความคิดแบบเดิม ๆ จึงกล้าที่จะนำเสนอไอเดียแหวกแนวที่สามารถต่อยอดเป็นโปรเจกต์ต่าง ๆ ให้แก่องค์กรได้ความสามารถในการเรียนรู้ - ด้วยความที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกการทำงาน เด็กจบใหม่จึงมักกระหายที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อีกทั้งยังสามารถซึมซับและปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างรวดเร็ว เพราะยังไม่มีความเคยชินกับรูปแบบการทำงานแบบเดิม ๆต้นทุนต่ำ - เมื่อเทียบกับพนักงานที่มีประสบการณ์ การรับเด็กจบใหม่มีค่าใช้จ่ายในการจ้างงานที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้องค์กรมีความยืดหยุ่นในการบริหารต้นทุนมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า หากได้รับการพัฒนาอย่างถูกทางความกระตือรือร้น - เด็กจบใหม่มักมาพร้อมกับพลังและไฟในการทำงานที่เต็มเปี่ยม นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเอง จึงทุ่มเทให้แก่งานอย่างเต็มที่และพร้อมที่จะเรียนรู้พัฒนาตนเองอยู่เสมอข้อจำกัดขาดประสบการณ์ - แน่นอนว่าการที่ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์การทำงานจริงมาก่อน ทำให้ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และปรับตัวพอสมควร รวมถึงอาจเกิดข้อผิดพลาดในการทำงานได้บ่อยครั้งในช่วงแรกขาดทักษะเฉพาะทาง - เนื่องจากเพิ่งจบการศึกษามา เด็กจบใหม่บางคนจึงอาจยังขาดทักษะเฉพาะด้านที่จำเป็นสำหรับการทำงาน ซึ่งองค์กรจำเป็นต้องลงทุนทั้งเวลาและทรัพยากรในการฝึกอบรมเพิ่มเติมคนที่มีประสบการณ์ : ความเชี่ยวชาญและความพร้อมคนที่มีประสบการณ์เปรียบเสมือนอาวุธลับขององค์กร ที่พร้อมจะเข้ามาแก้ไขปัญหาและผลักดันเป้าหมายให้สำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความรู้และทักษะที่สั่งสมมา ทำให้มีทั้งจุดแข็งและข้อจำกัดที่น่าสนใจ ดังนี้ข้อดีประสบการณ์ - คนที่ผ่านงานมามาก จะมีความเชี่ยวชาญจากการลงมือทำจริง สามารถเริ่มงานได้ทันทีและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการทำงานผิดพลาดได้เป็นอย่างดีทักษะเฉพาะทาง - ผู้มีประสบการณ์จะมีความชำนาญและทักษะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานนั้น ๆ อย่างครบถ้วน ทำให้องค์กรไม่ต้องลงทุนเพิ่มในการฝึกอบรมมากนัก และสร้างผลลัพธ์ได้ตามเป้าหมายอย่างรวดเร็วเครือข่าย - มืออาชีพที่อยู่ในวงการมานาน มักมีคอนเน็กชันที่กว้างขวาง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการประสานงาน การขยายโอกาสทางธุรกิจ และการแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆความมั่นใจ - คนที่มีประสบการณ์ทำงาน จะเชื่อมั่นในการตัดสินใจและทำงานได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องรอคำสั่งหรือการกำกับดูแลมากนัก ทำให้งานเดินหน้าได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วข้อจำกัดค่าใช้จ่ายสูง - ผู้ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูง มักคาดหวังในเรื่องค่าตอบแทนและสวัสดิการที่สูงตามไปด้วย ซึ่งอาจเป็นภาระด้านต้นทุนที่สำคัญขององค์กรความยืดหยุ่น - คนที่มีประสบการณ์การทำงานมายาวนาน บางคนอาจยึดติดกับรูปแบบการทำงานแบบเดิม ๆ จึงต้องใช้เวลาปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรหรือแนวคิดใหม่ ๆระหว่างเด็กจบใหม่กับคนมีประสบการณ์ ควรเลือกใครดี ?เมื่อรู้จุดแข็งและข้อจำกัดของพนักงานทั้ง 2 รูปแบบแล้ว คำถามสำคัญคือ "แล้วควรเลือกใคร ?" คำตอบคือ ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เพราะการตัดสินใจนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่องค์กรต้องพิจารณาให้รอบด้าน ดังนี้ตำแหน่งงาน ลักษณะงานเป็นตัวกำหนดที่สำคัญ โดยงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์และมุมมองใหม่ ๆ มักเหมาะกับเด็กจบใหม่ที่กล้าคิดนอกกรอบ ในขณะที่งานที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือการตัดสินใจที่ซับซ้อน ก็เหมาะกับคนที่มีประสบการณ์มากกว่าวัฒนธรรมองค์กร บริษัทที่เน้นการพัฒนาบุคลากรระยะยาวและเปิดกว้างสำหรับไอเดียใหม่ ๆ มักให้โอกาสเด็กจบใหม่ได้เติบโต ส่วนองค์กรที่ต้องการความเสถียรและผลลัพธ์ที่ชัดเจน อาจเลือกคนที่มีประสบการณ์มาขับเคลื่อนเป้าหมายให้สำเร็จงบประมาณเพดานงบประมาณที่มีเป็นตัวกำหนดทางเลือกที่สำคัญ โดยการรับเด็กจบใหม่อาจเหมาะกับองค์กรที่มีงบจำกัดแต่พร้อมลงทุนด้านการพัฒนา ขณะที่การจ้างคนมีประสบการณ์แม้จะมีต้นทุนสูง แต่อาจคุ้มค่าหากต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วความเร่งด่วนในสถานการณ์ที่ต้องการคนเข้ามาแก้ปัญหาหรือรับผิดชอบงานสำคัญทันที การเลือกคนที่มีประสบการณ์อาจเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า แต่หากมีเวลาเรียนรู้และพัฒนา การให้โอกาสเด็กจบใหม่ก็อาจสร้างความคุ้มค่าในระยะยาวเคล็ดลับในการตัดสินใจเลือกแม้ว่าทั้งการรับเด็กจบใหม่และคนมีประสบการณ์จะมีข้อดีที่แตกต่างกัน แต่การจะเลือกใครสักคนเข้ามาทำงานในตำแหน่งนั้น ๆ อย่างเหมาะสมที่สุด HR จำเป็นต้องมีกระบวนการคัดเลือกที่รอบคอบ โดยมีเคล็ดลับสำคัญที่เราอยากแนะนำดังนี้กำหนดคุณสมบัติที่ต้องการ ก่อนเริ่มกระบวนการสรรหา ต้องระบุความต้องการให้ชัดเจนว่าตำแหน่งนี้ต้องการทักษะ ความรู้ และคุณสมบัติใดบ้าง รวมถึงอะไรคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ (Must-have) และอะไรคือสิ่งที่มีก็ดี หรือไม่มีก็ได้ (Nice-to-have) เพื่อให้การคัดกรองผู้สมัครมีทิศทางที่ชัดเจนสัมภาษณ์อย่างละเอียดการตั้งคำถามต้องครอบคลุมทั้งด้านความสามารถและทัศนคติ โดยออกแบบคำถามให้สอดคล้องกับคุณสมบัติที่ต้องการ เช่น ถ้าต้องการคนที่แก้ปัญหาเก่ง ก็ควรให้เล่าประสบการณ์จริงที่เคยเจอ หรือให้แก้โจทย์สถานการณ์จำลอง เพื่อดูกระบวนการคิดและการตัดสินใจทดลองงานการให้ลองทำงานจริงเป็นเวลา 1-3 เดือน จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่าผู้สมัครสามารถรับมือกับความท้าทายในงานได้จริงหรือไม่ รวมถึงวัฒนธรรมการทำงานเข้ากับทีมได้ดีแค่ไหน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการตัดสินใจที่ผิดพลาดพิจารณาความสมดุลการตัดสินใจไม่ควรมองแค่ประสบการณ์หรือวุฒิการศึกษา แต่ต้องประเมินศักยภาพในการเติบโตและพัฒนาด้วย บางครั้งคนที่มีประสบการณ์น้อยแต่เรียนรู้เร็วและมีทัศนคติที่ดี อาจเหมาะสมกว่าคนที่มีประสบการณ์มากแต่ไม่ยอมปรับตัวหากองค์กรของคุณกำลังมองหาบุคลากรที่ตอบโจทย์ให้บริษัท ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีประสบการณ์ เด็กจบใหม่ หรือพนักงาน Outsource ที่ Manpower เราพร้อมช่วยคุณสรรหาคนที่ใช่ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในฐานะแบรนด์ระดับโลกที่ติดอันดับ Fortune 500 เรามีประสบการณ์ในการสรรหาบุคลากรมากกว่า 70 ปี พร้อมให้บริการครอบคลุมตั้งแต่ระดับปฏิบัติการไปจนถึงผู้บริหาร ทั้งแบบประจำและสัญญาจ้างชั่วคราว เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของธุรกิจคุณ สนใจรับคำปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อเราได้เลยวันนี้ข้อมูลอ้างอิงComparing Candidates: Should You Hire Experienced Workers or Recent College Graduates?. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 จาก https://www.business.com/articles/should-you-hire-experienced-workers-or-recent-college-graduates/.
-
มนุษย์เงินเดือนต้องรู้! แมนพาวเวอร์แนะนำวิธีเก็บเงินและบริหารเงินเดือนให้มีเงินเก็บ!
12 November 2024 การเป็นมนุษย์เงินเดือนในยุคปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นและความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด การรู้จักวิธีเก็บเงินและบริหารเงินเดือนจึงเป็นทักษะสำคัญที่ทุกคนควรมี บทความนี้จะแนะนำวิธีการเก็บออมเงินที่มนุษย์เงินเดือนต้องรู้ พร้อมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริการรับทำเงินเดือนสำหรับองค์กรวิธีเก็บเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือนจัดทำงบประมาณรายเดือนการจัดทำงบประมาณรายเดือนเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการเก็บเงิน ให้บันทึกรายรับและรายจ่ายทั้งหมดของคุณ แล้วแบ่งหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายออกเป็นส่วนๆ เช่น ค่าเช่า ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ วิธีนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมทางการเงินของตัวเองได้ชัดเจนขึ้นใช้กฎ 50/30/20กฎ 50/30/20 เป็นวิธีการจัดสรรเงินเดือนที่มีประสิทธิภาพ โดยแบ่งเงินเดือนออกเป็น 3 ส่วน:50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น (ค่าเช่า ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค)30% สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัว (ความบันเทิง การท่องเที่ยว)20% สำหรับการออมและการลงทุนตั้งเป้าหมายการออมการตั้งเป้าหมายการออมที่ชัดเจนจะช่วยสร้างแรงจูงใจในการเก็บเงิน ตั้งเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น การออมเงินเพื่อซื้อรถยนต์ในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือการเก็บเงินเพื่อเกษียณอายุใช้วิธีการออมอัตโนมัติการตั้งค่าให้เงินถูกหักเข้าบัญชีออมทรัพย์โดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับเงินเดือนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมาก วิธีนี้จะช่วยให้คุณไม่ลืมออมเงินและไม่มีโอกาสใช้เงินส่วนนี้ไปก่อนลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นทบทวนค่าใช้จ่ายของคุณและตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก เช่น การสมัครสมาชิกบริการสตรีมมิ่งที่ไม่ได้ใช้ หรือการรับประทานอาหารนอกบ้านบ่อยเกินไป การลดค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีเงินเหลือเก็บมากขึ้นหารายได้เสริมการหารายได้เสริมนอกเหนือจากเงินเดือนประจำเป็นอีกวิธีที่ช่วยเพิ่มเงินออม คุณอาจทำงานพาร์ทไทม์ ขายของออนไลน์ หรือรับงานฟรีแลนซ์ตามความถนัดใช้แอปพลิเคชั่นช่วยในการบริหารเงินปัจจุบันมีแอปพลิเคชั่นมากมายที่ช่วยในการบริหารเงินส่วนบุคคล เช่น แอปบันทึกรายรับรายจ่าย หรือแอปวางแผนการออม การใช้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณติดตามการใช้จ่ายและการออมได้ง่ายขึ้นการรู้จักวิธีเก็บเงินและบริหารเงินเดือนเป็นทักษะสำคัญสำหรับมนุษย์เงินเดือนในยุคปัจจุบัน การวางแผนการเงินที่ดี การตั้งเป้าหมายการออม และการใช้เครื่องมือช่วยในการบริหารเงินจะช่วยให้คุณมีเงินเหลือใช้และเหลือเก็บมากขึ้นนอกจากการบริหารเงินส่วนบุคคลแล้ว การบริหารเงินเดือนในองค์กรก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน Manpower ให้บริการรับทำเงินเดือนที่ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการเรื่องเงินเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพหากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารองค์กรที่กำลังมองหาโซลูชันในการบริหารจัดการเงินเดือนที่มีประสิทธิภาพ ติดต่อ Manpower วันนี้เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการรับทำเงินเดือนของเรา เราพร้อมช่วยให้การบริหารเงินเดือนในองค์กรของคุณเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้นบริการรับทำเงินเดือนสำหรับองค์กรของ ManpowerManpower ให้บริการรับทำเงินเดือน 2 รูปแบบ:Payroll Service: บริการรับทำเงินเดือนแบบครบวงจร โดย Manpower จะเป็นผู้คำนวณและจ่ายเงินเดือนในฐานะ "นายจ้าง" แทนบริษัทลูกค้าPayroll Outsourcing: บริการเฉพาะการคำนวณเงินเดือน โดยบริษัทลูกค้าจะเป็นผู้จ่ายเงินเดือนเอง และ Manpower เป็นผู้คำนวณเงินเดือนให้ประโยชน์ของการใช้บริการรับทำเงินเดือนรักษาความลับเรื่องเงินเดือนของพนักงานลดภาระงานของแผนกทรัพยากรบุคคลลดความผิดพลาดในการคำนวณเงินเดือนและภาษีประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเงินเดือนปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านแรงงานและภาษีได้อย่างถูกต้องสำหรับองค์กร การใช้บริการรับทำเงินเดือนจาก Manpower เป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเงินเดือนและลดภาระงานของแผนกทรัพยากรบุคคล ทำให้องค์กรสามารถมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรได้อย่างเต็มที่
-
จัดโต๊ะทำงาน เสิรมฮวงจุ้ย งานรุ่งพุ่งแรง!
30 October 2024 ชาวออฟฟิศทุกคน! วันนี้แมนพาวเวอร์มีเรื่องน่าสนใจมาแชร์กัน รู้หรือไม่ว่า ฮวงจุ้ยนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่บ้านหรือที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงโต๊ะทำงานของเราด้วย ถ้าคุณมีความเชื่อเกี่ยวกับ “ฮวงจุ้ย" ศาสตร์จีนโบราณที่ว่าด้วยเรื่องพลังงานและการจัดวางสิ่งของเพื่อความเป็นสิริมงคลฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานนี่แหละที่จะช่วยเสริมโชคลาภและความสำเร็จ อาจช่วยเสริมให้งานรุ่งพุ่งแรง หรือใครที่กำลังมองหางานใหม่ก็อาจช่วยเสริมให้ดวงการงานของเราเฮง ๆ มากขึ้น! มาดูกันว่าเราจะจัดโต๊ะทำงานยังไงให้ถูกหลักฮวงจุ้ยกันดีกว่า! ความสำคัญของการจัดโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ย การจัดโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ยนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของความเชื่อเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการจัดพื้นที่ให้เหมาะสมกับการทำงาน ช่วยให้เรารู้สึกสบายใจและมีสมาธิในการทำงานมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนที่กำลังมองหางานใหม่หรือต้องการความก้าวหน้าในอาชีพพนักงานออฟฟิศเชื่อว่าการจัดโต๊ะทำงานที่ดีมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพวกเขา ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะกำลังฝากประวัติสมัครงานอยู่ หรือต้องการเพิ่มโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง การจัดโต๊ะทำงานให้ถูกหลักฮวงจุ้ยก็อาจเป็นตัวช่วยที่ดีได้นะคะ!เคล็ดลับการจัดโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ย1. ตำแหน่งของโต๊ะทำงานตำแหน่งของโต๊ะทำงานนั้นสำคัญมาก ตามหลักฮวงจุ้ย เราควรวางโต๊ะทำงานในตำแหน่งที่เรียกว่า "ตำแหน่งอำนาจ" นั่นคือ:หันหน้าเข้าหาประตูทางเข้า แต่ไม่ตรงกับประตูเป๊ะ ๆมีกำแพงหรือที่พิงแข็งแรงด้านหลังสามารถมองเห็นคนที่เข้ามาในห้องได้ชัดเจนการจัดแบบนี้จะช่วยให้เรารู้สึกมั่นคงและควบคุมสถานการณ์ได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากเวลาที่เราต้องฝากประวัติสมัครงานหรือเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน2. การจัดวางอุปกรณ์บนโต๊ะทำงานวางคอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อปทางซ้ายมือ เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์วางโทรศัพท์ทางขวามือ เพื่อเสริมการสื่อสารที่ดีจัดวางเอกสารสำคัญ เช่น ประวัติการทำงานหรือ Portfolio ให้เป็นระเบียบและเข้าถึงง่ายการจัดวางแบบนี้จะช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยให้เราดูเป็นมืออาชีพเวลาที่มีคนเดินมาที่โต๊ะทำงานเราอีกด้วย3. สีสันและการตกแต่งสีสันก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการจัดโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ยใช้โทนสีเขียวหรือน้ำเงินเพื่อเสริมความสงบและสมาธิเพิ่มสีแดงหรือส้มในปริมาณน้อย ๆ เพื่อกระตุ้นพลังและความกระตือรือร้นหลีกเลี่ยงสีดำหรือสีเทาเข้มเกินไป เพราะอาจทำให้รู้สึกหดหู่ได้นอกจากนี้ การเพิ่มต้นไม้เล็ก ๆ หรือรูปภาพที่สร้างแรงบันดาลใจก็เป็นไอเดียที่ดีนะ แต่อย่าลืมว่าต้องไม่รกจนเกินไปนะคะ!4. การจัดการพื้นที่ว่างเว้นพื้นที่ว่างประมาณ 30% ของพื้นที่โต๊ะทั้งหมดไม่วางของสูงบังหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือพื้นที่ทำงานหลักจัดเก็บของที่ไม่จำเป็นให้เป็นระเบียบในลิ้นชักหรือตู้เก็บของการมีพื้นที่ว่างจะช่วยให้พลังงานไหลเวียนได้ดี และยังทำให้เรารู้สึกโล่งใจ ไม่อึดอัดเวลาทำงานด้วย5. แสงสว่างและการระบายอากาศจัดให้มีแสงธรรมชาติเข้าถึงโต๊ะทำงานให้มากที่สุดใช้โคมไฟตั้งโต๊ะที่ให้แสงนวลตา ไม่จ้าเกินไปหาพัดลมหรือเครื่องฟอกอากาศมาช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดีสภาพแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่น มีพลัง และพร้อมที่จะทำงานอย่างเต็มที่การประยุกต์ใช้ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานกับการฝากประวัติสมัครงานเรามาดูกันว่าการจัดโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ยนี้จะช่วยในเรื่องการฝากประวัติสมัครงานได้อย่างไรบ้างสร้างความมั่นใจ: การมีพื้นที่ทำงานที่เป็นระเบียบและสวยงามจะช่วยเสริมความมั่นใจให้กับเรา ทำให้เรารู้สึกพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ในการทำงานเพิ่มประสิทธิภาพ: โต๊ะทำงานที่จัดอย่างดีจะช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เราสามารถสร้างผลงานที่ดีเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้งานใหม่สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: หากมีการสัมภาษณ์งานผ่านวิดีโอคอล โต๊ะทำงานที่ดูเป็นระเบียบและมืออาชีพจะช่วยสร้างความประทับใจแรกที่ดีให้กับผู้สัมภาษณ์ลดความเครียด: การทำงานในพื้นที่ที่จัดตามหลักฮวงจุ้ยจะช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสุขในการทำงาน ทำให้เรามีพลังในการหางานใหม่มากขึ้นเสริมพลังบวก: การมีสิ่งของที่สร้างแรงบันดาลใจบนโต๊ะทำงาน เช่น รูปภาพหรือคำคมให้กำลังใจ จะช่วยเสริมพลังบวกให้กับเราในระหว่างการหางานเคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับการฝากประวัติสมัครงานนอกจากการจัดโต๊ะทำงานแล้ว ยังมีเคล็ดลับอื่น ๆ ที่จะช่วยให้การฝากประวัติสมัครงานของคุณประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการอัพเดทประวัติการทำงานให้เป็นปัจจุบัน ปรับแต่ง Resume ให้เหมาะสมกับตำแหน่งงาน ฝึกฝนทักษะการสัมภาษณ์งาน และที่สำคัญ! อย่าลืมมาฝากประวัติกับแมนพาวเวอร์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการร่วมงานกับบริษัทชั้นนำระดับประเทศ!
-
เขียน Cover Letter อย่างไรให้โดดเด่น เพิ่มโอกาสได้งาน
18 September 2024 ผู้สมัครงานทั่วไป อาจจะรู้สึกว่าการเขียน CV, Resume หรือการทำ Portfolio นั้นสำคัญที่สุด แต่การส่งประวัติสมัครงาน พร้อมกับการเขียน Cover Letter แนบไปด้วย ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นด่านแรกที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ว่าจ้างหรือ HR ด้วยเหตุนี้ เนื้อความจึงต้องชัดเจน ตรงประเด็น น่าสนใจ และทำให้รู้สึกว่าผู้สมัครมีความโดดเด่นและเหมาะสมกับตำแหน่งดังกล่าว Cover Letter คืออะไร ? มีความสำคัญแค่ไหน ?Cover Letter คือ จดหมายปะหน้าที่ใช้ในการแนะนำตัวคร่าว ๆ โดยบอกถึงทักษะและประสบการณ์ที่เหมาะสมกับตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งจะช่วยดึงดูดให้กับนายจ้างและ HR สนใจในคุณสมบัติ ก่อนที่จะเข้าไปอ่านรายละเอียดอื่น ๆ ในเอกสารที่แนบไว้ในอีเมล ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเนื้อหามีความน่าสนใจและมีคุณสมบัติตรงกับความต้องการของบริษัทมากเท่าไร ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสผ่านรอบการพิจารณาคุณสมบัติและเอกสารมากขึ้นเท่านั้น เราจึงควรศึกษาทั้งวิธีเขียน Cover Letter และ CV ให้มีความน่าสนใจ เพื่อให้นายจ้างอยากเรียกสัมภาษณ์ในรอบถัดไป องค์ประกอบหลักของ Cover Letterการเขียน Cover Letter ที่ดี ควรมีองค์ประกอบหลัก 3 อย่างดังต่อไปนี้ 1. Introduction หรือส่วนแนะนำตัวในส่วนแรกของ Cover Letter ควรเป็นการแนะนำตัวคร่าว ๆ ว่าชื่ออะไร สนใจสมัครงานในตำแหน่งไหน รู้ข่าวการสมัครมาจากที่ใด รู้จักบริษัทนี้ได้อย่างไร และทำไมถึงสนใจสมัครงานกับบริษัทนี้ 2. Body หรือส่วนเนื้อหาหลักส่วนที่ 2 เป็นส่วนที่อธิบายคุณสมบัติเด่น ผลงาน และประสบการณ์การทำงานที่มีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร โดยต้องชี้ให้เห็นว่า ทำไมผู้สมัครถึงมีความเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ 3. Closing ส่วนสรุปส่วนสุดท้าย ให้เน้นย้ำถึงความเหมาะสมในตำแหน่งงาน และแสดงความกระตือรือร้นในการเข้าทำงานในบริษัท ที่สำคัญอย่าลืมใส่ข้อมูลการติดต่อเพื่อขอสัมภาษณ์งาน รวมถึงการแสดงความขอบคุณสำหรับการพิจารณา เทคนิคในการเขียน Cover Letter ให้น่าสนใจผู้ที่สมัครงาน ไม่ว่าจะเป็นเด็กจบใหม่หรือผู้มีประสบการณ์หลายคนมักจะกังวลใจ และไม่แน่ใจว่าจะเขียน Cover Letter อย่างไร ให้ดึงดูดผู้จ้างงานให้สนใจ เราไปดูเทคนิคกันเลย 1. เชื่อมโยงทักษะที่โดดเด่นและผลงานเข้าไว้ด้วยกัน แนะนำให้อ่านและวิเคราะห์หน้าที่และความรับผิดชอบของตำแหน่งงานที่รับสมัครอย่างละเอียด และชี้ให้ทางผู้ว่าจ้างเห็นว่า เรามีทักษะและประสบการณ์ตรงกับความต้องการของบริษัท ตัวอย่างเช่น การสมัครงานตำแหน่งผู้จัดการร้าน ที่ต้องการผู้ที่ทักษะการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาได้ดี ควรเขียนว่า “จากประสบการณ์การทำงานที่ร้านอาหาร A ทำให้มีประสบการณ์การบริหารร้านและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ทำให้ร้านอาหารได้รีวิว 5 ดาวมากกว่า 1,000 ครั้ง” เพื่อให้ผู้ว่าจ้างเห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น2. ชูตัวเลขเด่น หรือผลงานที่เห็นในเชิงประจักษ์อย่าพูดแค่ว่าตนเองมีคุณสมบัติหรือประสบการณ์ในเรื่องไหน แต่ให้นำตัวเลขและผลงานที่เห็นในเชิงประจักษ์และเป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น แทนที่จะกล่าวเพียงพอว่า “มีประสบการณ์ในการขายรถยนต์มือสอง” เปลี่ยนมาเป็น “ตลอดระยะเวลาที่ทำงานเป็นพนักงานขายรถมือสองได้ขายรถยนต์ไปแล้ว 100 คัน สร้างรายได้ให้แก่บริษัทมากกว่า 50 ล้านบาท”3. แสดงให้เห็นว่าผู้สมัครรู้จักบริษัทและต้องการที่จะสมัครงานจริง ๆทางบริษัทไม่ได้ต้องการผู้สมัครงานที่หว่านใบสมัครไปที่ไหนก็ได้ แต่ต้องการผู้สมัครที่สนใจ มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายไปในทางเดียวกัน ตัวอย่างเช่น “จากการติดตามโครงการความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ของบริษัทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกประทับใจกับความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้แก่ชุมชน” 4. ตรวจสอบการใช้ภาษา ทั้งไวยากรณ์ และตัวสะกดต่าง ๆหลีกเลี่ยงการใช้คำยาว ๆ ควรใช้คำที่แสดงถึงความกระตือรือร้นและกระชับ นอกจากนี้ควรตรวจสอบการใช้ภาษา ทั้งไวยากรณ์ และตัวสะกดต่าง ๆ ให้เรียบร้อย เพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจจะทำให้ดูเป็นคนที่ขาดความละเอียดรอบคอบ และไม่เป็นมืออาชีพ5. ควรปรับแต่ง Cover Letter ทุกครั้งไม่ควรใช้ Cover Letter อันเดิมในทุกบริษัทและทุกตำแหน่ง เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ว่าจ้าง โดยเฉพาะข้อความที่เชื่อมโยงกับบริษัท เพื่อแสดงถึงความสนใจและใส่ใจอย่างแท้จริง สำหรับใครที่กำลังมองหางาน ไม่ต้องสมัครด้วยตัวเองอีกต่อไป สามารถฝากประวัติสมัครงานที่ Manpower ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดหาบุคลากร จับคู่ตำแหน่งงานกับผู้สมัครได้ตอบโจทย์ตรงความต้องการ มี 8 สำนักงานทั่วไทย หากบริษัทต้องการคนแบบด่วน ๆ สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ของเราได้เลย ข้อมูลอ้างอิงHow to Write a Cover Letter That Sounds Like You (and Gets Noticed). สืบค้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 จาก https://hbr.org/2022/05/how-to-write-a-cover-letter-that-sounds-like-you-and-gets-noticed
-
5 เทคนิคการหางาน เพื่องานในฝัน ตรงใจ !
18 September 2024 ในยุคที่การแข่งขันสูง การหางานที่ดีจึงเป็นเรื่องท้าทายสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กจบใหม่ หรือผู้ที่ต้องการเปลี่ยนงาน การมีเทคนิคในการสมัครงานที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานที่ใช่และตรงตามความต้องการมากขึ้น บทความนี้จะมาแนะนำ 5 เทคนิคการหางานที่ตรงใจ ตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนสมัครงาน ไปจนถึงการเตรียมตัวสัมภาษณ์ พร้อมเทคนิคอื่น ๆ ที่จะช่วยให้ทุกคนก้าวสู่เส้นทางอาชีพที่ประสบความสำเร็จในอนาคต1. การวิเคราะห์ตนเอง : ค้นหาจุดอ่อน จุดแข็ง และเป้าหมายในอาชีพการวิเคราะห์ตนเองเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดในการหางาน เพราะจะช่วยให้เราเข้าใจตนเองมากขึ้น และสามารถเลือกงานที่เหมาะสมกับความสามารถและความต้องการได้ โดยมีสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ดังนี้จุดแข็ง : ระบุทักษะและความสามารถพิเศษของตนเอง เช่น ความเชี่ยวชาญด้านภาษา ความสามารถในการแก้ปัญหา หรือความคิดสร้างสรรค์จุดอ่อน : ยอมรับข้อจำกัดของตนเอง และวางแผนพัฒนาในส่วนที่ยังขาดเป้าหมายในอาชีพ : กำหนดเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวในสายงานอาชีพ เพื่อให้ทิศทางในการสมัครงานมีความชัดเจน2. เลือกงานที่เราถนัด : เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานการเลือกทำงานที่ถนัดไม่เพียงแต่จะทำให้ผลงานออกมาดีเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจและความกระตือรือร้นในการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องด้วย โดยมีเคล็ดลับดังนี้ค้นหาว่าตนเองสนใจงานด้านใดเป็นพิเศษเทคนิคการหางานที่จะช่วยให้รู้สึกสนุกกับงานก็คือ การพิจารณาจากสิ่งที่ชอบและมีความสุขเมื่อได้ทำประเมินทักษะที่โดดเด่นของตนเอง เพื่อให้สามารถนำมาต่อยอดกับการทำงานในอนาคตได้ค้นหางานที่ตรงกับความสนใจ เมื่อพิจารณาแล้วว่า เราชอบงานด้านใดเป็นพิเศษและมีทักษะที่เหมาะกับงานนั้นจริง ๆ คราวนี้ก็ลองค้นหางานที่ตนเองสนใจ เพื่อสมัครงานในขั้นตอนต่อไป 3. การสร้างเรซูเม่ให้มีความน่าสนใจ : ช่วยสร้างความประทับใจแรกให้แก่ผู้จ้างงานเรซูเม่เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความประทับใจแรกให้แก่ผู้จ้างงานหรือ HR ซึ่งการเขียนเรซูเม่ให้มีความน่าสนใจและโดดเด่นนั้น ถือเป็นเทคนิคการหางานที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะหากเรซูเม่เข้าตา HR โอกาสในการถูกเรียกสัมภาษณ์ก็จะมีมากยิ่งขึ้น โดยสามารถใช้หลักการในการเขียนเรซูเม่เหล่านี้ไปปรับใช้ได้ ปรับแต่งให้เข้ากับตำแหน่งงาน : ศึกษาคุณสมบัติที่บริษัทต้องการ และปรับเรซูเม่ให้ตรงกับความต้องการขององค์กร ใช้คำสำคัญ : ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมและตำแหน่งงานที่สมัครเน้นผลงานและความสำเร็จ : โดยแสดงตัวเลขและผลลัพธ์จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผลลัพธ์การทำงานของคุณช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่องค์กรที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง ออกแบบให้อ่านง่าย : ใช้รูปแบบที่เรียบง่าย สะอาดตา และจัดระเบียบข้อมูลให้ชัดเจน4. การเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน: สร้างความมั่นใจและความประทับใจการสัมภาษณ์งานเป็นโอกาสสำคัญในการแสดงศักยภาพของตัวเอง โดยเฉพาะการเตรียมตัวที่ดีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและโอกาสในการได้งาน โดยมีทริกที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ ดังนี้ศึกษาข้อมูลบริษัท : รู้จักประวัติ วัฒนธรรมองค์กร และเป้าหมายของบริษัทที่สมัคร เพื่อเป็นฐานข้อมูลหากมีคำถามที่เชื่อมโยงกับบริษัท ฝึกตอบคำถามพื้นฐาน : เตรียมคำตอบสำหรับคำถามที่มักถูกถามในการสัมภาษณ์ เช่น จุดแข็งและจุดอ่อนของคุณคืออะไร ?เตรียมคำถามสำหรับผู้สัมภาษณ์ : เพื่อแสดงความสนใจในตำแหน่งงานและบริษัทด้วยการถามคำถามที่มีความหมายแต่งกายให้เหมาะสม : เลือกชุดที่สุภาพและเหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กรฝึกการสื่อสารทางกาย : ฝึกท่าทางที่แสดงถึงความมั่นใจ5. การสร้างเครือข่าย: เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆการสร้างเครือข่ายทางวิชาชีพ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการค้นหาตำแหน่งงานที่คุณกำลังสนใจจริง ๆ และตรงกับสกิลที่คุณมี เข้าร่วมงานอีเวนต์ในอุตสาหกรรมที่สนใจ เพื่อพบปะผู้คนในวงการใช้โซเชียลมีเดียอย่างมืออาชีพ สร้างและอัปเดตโปรไฟล์ให้ทันสมัยอยู่ตลาดเวลา พร้อมกับนำเสนอคอนเทนต์ที่ตนเองสร้างสรรค์ขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อการทำงาน เพื่อให้คนอื่น ๆ เห็นถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของคุณ เข้าร่วมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ และสร้างความสัมพันธ์กับผู้ที่อยู่ในสายงานเดียวกันสำหรับคนที่กำลังค้นหางานที่ใช่ งานที่โดนใจ สามารถเข้ามาฝากประวัติหางานได้ที่ Manpower เว็บไซต์จัดหาคน-จัดหางานชั้นนำระดับโลก ด้วยประสบการณ์กว่า 70 ปี เราอัปเดตตำแหน่งงานใหม่ทุกวัน หางานคุณภาพที่ตรงใจ เพื่อโอกาสงานที่ดีในอนาคต มาเริ่มต้นเส้นทางอาชีพที่ใช่ของคุณวันนี้ !ข้อมูลอ้างอิง9 เคล็ดลับค้นหางานที่ใช่. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 จาก https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/salary-man/job-hunting-tips.html
-
7 ขั้นตอนการสรรหาพนักงาน คัดเลือกอย่างมีประสิทธิภาพ
18 September 2024 "การสรรหาบุคลากรคือหัวใจสำคัญขององค์กร" ประโยคนี้คงเป็นที่คุ้นเคยกันดีสำหรับฝ่ายทรัพยากรบุคคล หรือ HR เพราะการค้นหาพนักงานที่มีความสามารถและเหมาะสมกับตำแหน่งใดก็ตาม ไม่ใช่เพียงแค่การประกาศรับสมัครและรอผู้สมัครส่งใบสมัครมาเท่านั้น แต่ยังเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการดำเนินการ ในบทความนี้จะพามารู้จักกับความสำคัญ และขั้นตอนการสรรหาพนักงานอย่างมืออาชีพ ที่ HR ต้องรู้ !ความสำคัญของการสรรหาบุคลากรการสรรหาบุคลากร คือการคัดเลือกสมาชิกใหม่เข้าร่วมทีมในองค์กร การได้พนักงานที่มีความสามารถ ความรู้ และทักษะที่ตรงกับความต้องการ ย่อมส่งผลดีต่อการดำเนินงานในภาพรวม ทั้งยังมีส่วนช่วยให้องค์กรเติบโตได้อย่างมั่นคง ดังนั้น การสรรหาบุคลากรจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จขององค์กรเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน : พนักงานที่มีความสามารถและเหมาะสมกับตำแหน่ง จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เป้าหมายขององค์กรบรรลุผลได้เร็วขึ้นลดต้นทุน : การสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพเพียงครั้งเดียว จะช่วยลดต้นทุนในการฝึกอบรมพนักงานใหม่ และลดอัตราการลาออกของพนักงานสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี : พนักงานใหม่ที่เข้ามาจะนำความคิดเห็นและมุมมองใหม่ ๆ เข้ามาสู่องค์กร ช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานที่เป็นบวกและส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: พนักงานที่มีความสามารถจะช่วยให้องค์กรสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร: กระบวนการสรรหาที่โปร่งใสและเป็นธรรม จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร ทั้งยังดึงดูดผู้ที่มีความสามารถให้เข้ามาสมัครงานขั้นตอนในการสรรหาพนักงานการสรรหาบุคลากร หรือ การคัดเลือกพนักงาน เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างมากในทุกองค์กร เพราะพนักงานที่มีคุณภาพ ที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตและประสบความสำเร็จ สำหรับขั้นตอนของการสรรหาพนักงานเพื่อให้เหมาะกับตำแหน่งและวัฒนธรรมองค์กร มีดังนี้1. จัดทำ Job Description ให้พร้อมระบุหน้าที่และความรับผิดชอบของตำแหน่งงานอย่างชัดเจนกำหนดคุณสมบัติ ทักษะ และประสบการณ์ที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งกำหนดความรับผิดชอบที่ชัดเจน เช่น การรายงานผล การควบคุมงาน2. กำหนดทีมผู้สัมภาษณ์งานเลือกผู้สัมภาษณ์ที่มีความเชี่ยวชาญในสายงานนั้น ๆจัดทีมสัมภาษณ์ที่หลากหลายเพื่อให้ได้มุมมองที่รอบด้านเตรียมความพร้อมให้ทีมสัมภาษณ์เข้าใจบทบาทและเป้าหมายของการสัมภาษณ์3. เตรียมคำถามในการสัมภาษณ์ให้ครบออกแบบคำถามการคัดเลือกพนักงานที่สามารถประเมินทักษะ ประสบการณ์ และทัศนคติของผู้สมัครรวมคำถามเชิงพฤติกรรมเพื่อประเมินการตอบสนองต่อสถานการณ์จริงเตรียมคำถามที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมองค์กรเพื่อประเมินความเหมาะสม4. สื่อสารเพื่อคัดเลือกอย่างสร้างสรรค์ใช้ภาษาที่เป็นมิตรและเป็นมืออาชีพในการสื่อสารกับผู้สมัครให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับขั้นตอนการคัดเลือกพนักงานและระยะเวลารับฟังความคิดเห็นและคำถามของผู้สมัครอย่างเปิดกว้าง5. อธิบายรายละเอียดงานให้ชัดเจนนำเสนอภาพรวมของบริษัทและวัฒนธรรมองค์กรอธิบายลักษณะงาน ความรับผิดชอบ และความคาดหวังอย่างละเอียดให้ข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสในการเติบโตและพัฒนาตนเองในองค์กร6. ทำสัญญาจ้างให้ชัดเจนเมื่อผู้สมัครผ่านการคัดเลือกเป็นพนักงานใหม่ ในขั้นตอนการทำสัญญาจ้าง จะต้องระบุเงื่อนไขการจ้างงาน ค่าตอบแทน และสวัสดิการอย่างชัดเจนอธิบายนโยบายและกฎระเบียบขององค์กรที่สำคัญให้โอกาสผู้สมัครซักถามและทำความเข้าใจก่อนลงนามในสัญญา7. เริ่มทดลองงานกำหนดระยะเวลาทดลองงานที่เหมาะสมจัดให้มีการปฐมนิเทศและแนะนำงานอย่างละเอียดติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมออย่างไรก็ตาม กระบวนการคัดเลือกพนักงานนับเป็นเรื่องท้าทายของทุกธุรกิจ ซึ่งต้องใช้ทั้งความรู้และความเข้าใจในตลาดแรงงาน ขอแนะนำ Manpower เรามีบริการสรรหาพนักงานรับจัดหาพนักงานประจำ ที่พร้อมช่วยค้นหาบุคลากรที่มีความสามารถและตรงกับความต้องการของธุรกิจ หากบริษัทต้องการคนแบบด่วน ๆ สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ของเราได้เลย !ข้อมูลอ้างอิง7 ขั้นตอนในการคัดสรรบุคคลากร. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 จาก https://www.businessplus.co.th/Activities/ข่าวสาร-hrm-c021/7-ขั้นตอนในการคัดสรรบุคคลากร-v6231