-
ปัญหาพนักงานลาออกบ่อย ๆ และเคล็ดลับในการแก้ไขให้ได้ผล
6 February 2025 การต้องเจอกับการลาออกของพนักงานอยู่เป็นประจำ (Turnover) เป็นปัญหาที่หลายองค์กรต้องเผชิญ ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน แต่ยังเพิ่มค่าใช้จ่ายในการจัดหาพนักงานใหม่และการฝึกอบรม การเข้าใจสาเหตุ ว่าพนักงานลาออกบ่อยเกิดจากอะไร พร้อมวิธีปรับองค์กรอย่างตรงจุด จะช่วยลดอัตราการลาออก (Attrition Rate) และสร้างความยั่งยืนให้กับทีมงานได้ในระยะยาวTurnover และ Attrition Rate ของพนักงานคืออะไร ?Turnover หรือ อัตราการหมุนเวียนของพนักงาน คืออัตราการลาออกของพนักงานในองค์กร ซึ่งเป็นดัชนีสำคัญที่สะท้อนปัญหาภายในองค์กร เช่น ระบบการทำงานที่ไม่เอื้ออำนวย หรือการขาดแรงจูงใจในการทำงานส่วน Attrition Rate คือ อัตราการลดลงของพนักงานในองค์กรโดยที่ไม่มีการทดแทนพนักงานทันที ตัวชี้วัดนี้จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถเข้าใจถึงจำนวนพนักงานที่หายไปจากองค์กรในระยะเวลาหนึ่งการวัด Attrition Rate มีความสำคัญกับทุก ๆ องค์กร เพราะจะช่วยให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายบุคคลเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้พนักงานลาออก พร้อมกับหาทางปรับปรุงการบริหารงาน เพื่อช่วยลดปัญหาในเรื่องนี้ สาเหตุการลาออกของพนักงานที่องค์กรควรรู้การที่พนักงานลาออกบ่อยครั้งเกิดได้จากหลายปัจจัย ซึ่งแต่ละสาเหตุมีผลต่อ Attrition Rate ขององค์กร ดังนี้1. ค่าตอบแทนและสวัสดิการไม่จูงใจพนักงานที่รู้สึกว่าค่าตอบแทนหรือสวัสดิการที่ได้รับไม่เพียงพอต่อความพยายามที่ทำในองค์กร มักจะมองหางานที่มีผลตอบแทนที่ดีกว่า อัตราการลาออกจึงสูงขึ้นเมื่อไม่มีการให้รางวัลที่คุ้มค่ากับความสามารถและการทำงานที่มีประสิทธิภาพ2. ขาดโอกาสในการเติบโตหลายครั้งที่พนักงานลาออกเพราะรู้สึกว่าไม่สามารถเติบโตในสายอาชีพได้ หรือองค์กรไม่มีแผนการพัฒนาทักษะและความสามารถให้แก่พนักงาน ด้วยเหตุนี้ พนักงานที่มีความทะเยอทะยานอาจมองหาโอกาสใหม่ที่สามารถพัฒนาตนเองได้มากกว่า3. ผลกระทบจากภาระงานที่หนักเกินไปภาระงานที่หนักหรือเวลาการทำงานที่ยาวนานเกินไป อาจทำให้พนักงานรู้สึกเครียดและหมดไฟในการทำงาน เมื่อไม่มีการบริหารจัดการที่ดีเกี่ยวกับภาระงาน การลาออกจึงเป็นทางออกที่พนักงานเลือก เนื่องจากไม่สามารถรับมือกับงานได้อีกต่อไป 4. ขาดความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวการที่พนักงานต้องเสียเวลามากเกินไปในการทำงานและขาดเวลาส่วนตัว อาจทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจในชีวิตการทำงานและลาออกไปหางานที่มีความสมดุลระหว่างงานและชีวิตที่ดีกว่า5. สไตล์การทำงานไม่ตรงกับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมทีมความขัดแย้งระหว่างพนักงานกับหัวหน้าหรือทีมงาน อาจส่งผลให้พนักงานรู้สึกไม่สบายใจในการทำงาน พนักงานที่รู้สึกว่าบรรยากาศการทำงานไม่เหมาะสมกับความต้องการของตนเองมักจะมองหางานใหม่ที่ตรงกับค่านิยมและสไตล์การทำงานของพวกเขาเคล็ดลับลด Attrition Rate แก้ปัญหาพนักงานลาออกอย่างได้ผลเพื่อให้ Attrition Rate ลดลง และป้องกันไม่ให้พนักงานลาออกบ่อยครั้ง องค์กรสามารถใช้เทคนิคเหล่านี้เพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการบุคลากรและสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงานได้1. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งการมีวัฒนธรรมองค์กรที่ชัดเจนจะช่วยให้พนักงานรู้สึกเชื่อมโยงและภาคภูมิใจในทีมงาน ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะอยู่กับองค์กรในระยะยาว2. สนับสนุนการพัฒนาทักษะพนักงานให้โอกาสพนักงานในการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ช่วยให้พวกเขารู้สึกเติบโตในอาชีพ และเพิ่มความรู้สึกมีคุณค่าในองค์กร3. การสื่อสารและรับฟังความคิดเห็นเปิดช่องทางให้พนักงานแสดงความคิดเห็น เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่าองค์กรใส่ใจและยินดีที่จะรับฟังและปรับปรุงสิ่งที่ยังไม่ดีให้พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น 4. การรับ Feedbackการขอรับ Feedback จากพนักงานอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้องค์กรเข้าใจถึงความต้องการและข้อกังวลของพนักงาน และสามารถปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานให้ดียิ่งขึ้น5. เลือกใช้บริษัทจัดหาพนักงานที่เชี่ยวชาญบริษัทจัดหางานที่มีประสบการณ์สามารถช่วยให้องค์กรได้พนักงานที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการ ลดโอกาสการลาออกในระยะยาวสำหรับองค์กรที่ต้องการบุคลากรคุณภาพ สามารถเลือกใช้บริการจัดหาพนักงานกับ Manpower บริษัท Recruitment ที่พร้อมช่วยคุณสรรหาพนักงานที่มีความสามารถตรงตามความต้องการของธุรกิจ ด้วยประสบการณ์ในการสรรหาบุคลากรมากกว่า 70 ปี พร้อมให้บริการครอบคลุมตั้งแต่ระดับปฏิบัติการไปจนถึงผู้บริหาร ทั้งแบบประจำและสัญญาจ้างชั่วคราว เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของธุรกิจคุณ สนใจรับคำปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อเราได้เลยวันนี้ข้อมูลอ้างอิง10 Causes of Employee Turnover & How to Prevent/Reduce Them. สืบค้นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 จาก https://www.netsuite.com/portal/resource/articles/human-resources/employee-turnover-causes.shtml
-
ไขข้อสงสัย ฝาก Resume ที่ไหนดี ? ฝากนานแล้วทำไมยังเงียบ ?
6 February 2025 "การฝากประวัติสมัครงานแล้วเงียบ" เป็นปัญหาที่เหล่าคนทำงานมักต้องเจอในยุคที่ตลาดแรงงานมีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในปี 2025 การปรับปรุงโปรไฟล์และใช้กลยุทธ์เขียนใบสมัครงานให้โดดเด่น เพื่อให้ได้รับความสนใจจาก HR เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งแล้วอะไรบ้างที่เป็นสาเหตุทำให้คุณไม่ได้รับการตอบกลับ บทความนี้ได้รวบรวมมาไว้ให้ครบ พร้อมแนะนำ 5 เทคนิคเพิ่มโอกาสให้คุณได้งานอย่างที่ตั้งใจไว้ สาเหตุที่ฝากประวัติสมัครงานแล้วเงียบก่อนที่เราจะหาวิธีแก้ไขและเลือกฝาก Resume ที่ไหนดี เราควรมาทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้ใบสมัครที่ฝากนานแล้วทำไมยังเงียบว่าเกิดจากอะไรกันก่อน 1. คุณสมบัติไม่ตรงกับที่บริษัทต้องการบริษัทมักมีเกณฑ์ที่ชัดเจนในการคัดเลือกพนักงาน เช่น ประสบการณ์เฉพาะทาง ทักษะที่จำเป็น หรือวุฒิการศึกษาที่ต้องการ หากโปรไฟล์ของคุณไม่ตรงกับสิ่งที่บริษัทกำหนด โอกาสได้รับการพิจารณาก็จะลดลง2. ใบสมัครของเราไม่โดดเด่นResume ที่ไม่มีความน่าสนใจ ข้อมูลไม่ชัดเจน หรือไม่มีการใช้คำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงาน อาจทำให้ใบสมัครของคุณไม่ได้ถูกคัดเลือกตั้งแต่แรก3. การขาดการติดตามผลHR มักได้รับใบสมัครเป็นจำนวนมาก หากไม่ติดตามความคืบหน้าหลังสมัครงาน โอกาสที่ใบสมัครจะถูกลืมก็มากขึ้น การส่งอีเมลหรือโทรสอบถามอย่างสุภาพสามารถช่วยให้ HR ให้ความสนใจในตัวคุณมากขึ้น4. ตำแหน่งปิดรับสมัครแล้วบางครั้ง บริษัทอาจได้รับใบสมัครจำนวนมากจนต้องปิดรับก่อนกำหนด ทำให้ใบสมัครของคุณไม่ได้รับการพิจารณา5. ฝาก Resume ผิดที่หากฝากประวัติสมัครงานในแพลตฟอร์มหางานที่ไม่ตรงกับสายอาชีพ หรือไม่ได้เลือกใช้เว็บไซต์ที่เหมาะสม อาจทำให้โปรไฟล์ไม่ถูกค้นพบโดยบริษัทที่ต้องการพนักงานในตำแหน่งที่คุณสมัคร5 เทคนิคเพิ่มโอกาสได้งานในปี 2025หากไม่อยากให้ใบสมัครเงียบหาย ลองใช้เทคนิคเหล่านี้เพื่อเพิ่มโอกาสให้ HR ติดต่อกลับมาเร็วขึ้น1. ปรับแต่ง Resume ให้เหมาะกับตำแหน่งที่สมัครไว้การใช้ Resume หรือโปรไฟล์สมัครงานเพียงฉบับเดียวในการสมัครหลายตำแหน่ง อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ควรปรับแต่งเนื้อหาให้สอดคล้องกับรายละเอียดของงานที่สมัครในแต่ละตำแหน่งด้วย โดยควรใส่ทักษะและประสบการณ์ที่ตรงกับงานนั้น ๆ ให้ได้มากที่สุด เพื่อแสดงถึงประสบการณ์และความเหมาะสมในตำแหน่งที่คุณสมัคร 2. เพิ่มคำสำคัญ (Keywords) ในโปรไฟล์การใช้ Keywords ที่เหมาะสมในโปรไฟล์สมัครงาน จะช่วยให้ HR ค้นหาประวัติของคุณได้ง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสได้รับการพิจารณา จึงควรเลือกใช้คำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร พร้อมทั้งสรุปประสบการณ์การทำงานให้น่าสนใจ โดยสามารถเพิ่มรายละเอียดได้ดังนี้ตัวเลข เปอร์เซ็นต์ (%) และจำนวน เช่น คุณสามารถเพิ่มยอดขายออนไลน์ขึ้น 200% ภายใน 1 ปี หรือ Achieved 100% of marketing targets in 9 monthsความรู้ทางด้านภาษา เช่น TOEIC 900 คะแนน / IELTS 7.5 / TOEFL 105ทักษะหรือความสามารถพิเศษ เช่น Advanced Excel & Data Analysis, Communication Skill, Creativity Skill3. ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลข้อมูลผิดพลาด เช่น เบอร์โทรศัพท์ อีเมล หรือรายละเอียดประสบการณ์ทำงาน อาจทำให้บริษัทไม่สามารถติดต่อได้ โดยควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า Resume ที่ส่งไปไม่มีคำผิด และมีความกระชับ ชัดเจน4. ใช้แพลตฟอร์มฝากประวัติสมัครงานที่เหมาะสมเลือกใช้ช่องทางสมัครงานที่เหมาะสมกับสายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หางาน แพลตฟอร์มสำหรับมืออาชีพ หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์สำหรับการหางาน ควรกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน และอัปเดตโปรไฟล์อยู่เสมอ เพื่อเพิ่มโอกาสที่ HR จะพบประวัติของคุณ5. ติดตามผลการสมัครด้วยความสุภาพหลังจากส่งใบสมัครไปแล้ว ควรติดตามผลกับบริษัทภายใน 1-2 สัปดาห์ เพื่อแสดงความกระตือรือร้น และย้ำให้ฝ่ายบุคคลทราบว่าคุณสนใจตำแหน่งงานนี้จริง ๆ การติดตามผลสามารถทำได้ผ่านทางอีเมลหรือโทรศัพท์ โดยควรใช้ถ้อยคำที่สุภาพและเป็นมืออาชีพฝากประวัติสมัครงานที่ไหนดีในปี 2025หากคุณกำลังมองหางานใหม่ หรืออยากเพิ่มโอกาสได้งานที่ตรงกับความสามารถของคุณ การเลือกแพลตฟอร์มหรือช่องทางฝากประวัติสมัครงานที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญแนะนำให้สมัครงานผ่าน Recruitment Agency หรือบริษัทจัดหางานอย่าง Manpower ที่มีเครือข่ายนายจ้างจากหลายอุตสาหกรรม พร้อมอัปเดตตำแหน่งงานใหม่ทุกวัน ช่วยให้คุณสามารถสมัครงานได้อย่างมีประสิทธิภาพข้อดีของการสมัครงาน/หางานกับเว็บหางาน Manpowerช่วยจับคู่ตำแหน่งงานที่เหมาะสม ตามทักษะและประสบการณ์ของคุณเพิ่มโอกาสได้งานเร็วขึ้น จากองค์กรที่มีคุณภาพและมั่นคง สมัครเพียงครั้งเดียว ระบบจะช่วยให้ HR สามารถค้นหาประวัติของคุณได้อย่างง่ายดายได้รับคำแนะนำในการปรับปรุง Resume และสัมภาษณ์งานสำหรับใครที่กำลังมองหางานในปี 2025 สามารถฝากประวัติสมัครงานได้ที่ Manpower เว็บสมัครงานจัดหาคน-จัดหางานชั้นนำระดับโลก ด้วยประสบการณ์กว่า 70 ปี เราอัปเดตตำแหน่งงานใหม่ทุกวัน หางานคุณภาพที่ตรงใจ เพื่อโอกาสงานที่ดีในอนาคตข้อมูลอ้างอิงNo Response to Job Applications: What Am I Doing Wrong?. สืบค้นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 จาก https://acadium.com/blog/no-response-to-job-applications/
-
สรุปให้ Freelance, Outsource พนักงานประจำ ต่างกันอย่างไร ?
6 February 2025 แม้ว่า Freelance, Outsource และพนักงานประจำจะเป็นรูปแบบการจ้างงานที่เรามักคุ้นเคย ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ด้วยเหตุนี้ การทำความเข้าใจการจ้างงานในแต่ละประเภทจึงมีความสำคัญอย่างมาก ยิ่งในฐานะเจ้าของบริษัทและพนักงานฝ่ายบุคคล จะช่วยให้เห็นถึงภาพรวม ที่สามารถนำไปวิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย และเลือกวิธีการจ้างงานที่เหมาะสมกับเป้าหมายขององค์กรได้อย่างตรงจุดเปรียบเทียบ Freelance, Outsource และพนักงานประจำคืออะไร ต่างกันอย่างไร ?1. Freelance คืออะไร ?Freelancer คือบุคคลที่เลือกทำงานอิสระ โดยไม่ได้ขึ้นตรงกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่มักจะทำงานในลักษณะของโครงการหรืองานชั่วคราวตามที่ได้รับมอบหมายจากลูกค้ารูปแบบการทำงาน : โดยทั่วไปแล้ว Freelance จะสามารถทำงานให้ลูกค้าหลายรายในเวลาเดียวกันได้ อีกทั้งยังมีอิสระในการเลือกโปรเจกต์ที่ตนเองสนใจและต้องการทำความยืดหยุ่น : เนื่องจากไม่มีสัญญาจ้างประจำ ผู้ทำงานสามารถกำหนดตารางเวลาของตนเอง รวมถึงเลือกสถานที่ทำงานได้อย่างอิสระรายได้และสวัสดิการ : รายได้ของ Freelancer จะขึ้นอยู่กับจำนวนงานที่รับและความสามารถในการหาลูกค้า อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดคือจะไม่ได้รับสวัสดิการจากนายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพความมั่นคง : แม้ว่า Freelance จะมีอิสระในการเลือกงาน แต่ความมั่นคงของรายได้อาจไม่แน่นอน เนื่องจากต้องขึ้นอยู่กับโอกาสในการหาลูกค้าและสภาวะการแข่งขันในตลาด2. Outsource คืออะไร ?Outsource หมายถึงการที่องค์กรเลือกจ้างบุคคลหรือบริษัทภายนอกเข้ามาดำเนินงานแทนพนักงานในองค์กร เช่น การจ้างบริษัทภายนอกมาดูแลระบบ IT หรือการใช้บริการเอเจนซีด้านการตลาดรูปแบบการทำงาน : โดยทั่วไปแล้ว Outsource จะเป็นบุคคลหรือบริษัทที่รับงานภายใต้สัญญาจ้าง ซึ่งอาจเป็นระยะสั้นหรือระยะยาวตามข้อตกลง โดยจะทำงานให้กับองค์กรที่ว่าจ้างตามขอบเขตที่กำหนดความยืดหยุ่น : แม้ว่าจะมีข้อตกลงหรือสัญญาที่ต้องปฏิบัติตาม แต่ Outsource ยังคงมีความยืดหยุ่นมากกว่าพนักงานประจำ เพราะไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบขององค์กรในทุกด้านรายได้และสวัสดิการ : รายได้อาจเป็นแบบค่าจ้างตามโครงการหรือเงินเดือน ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างองค์กรกับผู้ให้บริการ อย่างไรก็ตาม สวัสดิการมักจะน้อยกว่าพนักงานประจำ และในบางกรณี ผู้ว่าจ้างอาจไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบในเรื่องสวัสดิการเลยด้วยความมั่นคง : การจ้างงานแบบ Outsource มีความมั่นคงมากกว่า Freelance เพราะมักมีสัญญาที่ชัดเจน แต่ก็ยังไม่เทียบเท่าพนักงานประจำ เนื่องจากองค์กรอาจเปลี่ยนผู้ให้บริการได้เมื่อหมดสัญญา3. พนักงานประจำคืออะไร ?พนักงานประจำ คือบุคคลที่ได้รับการจ้างงานโดยตรงจากองค์กร โดยมีสถานะเป็นลูกจ้างและได้รับสวัสดิการครบถ้วนตามที่กฎหมายแรงงานกำหนดรูปแบบการทำงาน : พนักงานประจำต้องทำงานตามโครงสร้างองค์กร ซึ่งจะมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ชัดเจนตามแต่ละตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายความยืดหยุ่น : โดยทั่วไปแล้ว พนักงานประจำจะมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลาและสถานที่ทำงาน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันหลายองค์กรได้เริ่มนำนโยบายการทำงานแบบ Hybrid หรือ Remote มาใช้เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่พนักงานรายได้และสวัสดิการ : นอกจากเงินเดือนที่แน่นอนแล้ว พนักงานประจำยังได้รับสวัสดิการต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น ประกันสังคม ประกันสุขภาพ โบนัส รวมถึงโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งด้วยความมั่นคง : ด้วยสัญญาจ้างที่ต่อเนื่อง ทำให้พนักงานประจำมีความมั่นคงในอาชีพมากที่สุดเมื่อเทียบกับ Freelance และ Outsource อย่างไรก็ดี ยังคงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่น การปรับลดจำนวนพนักงาน หรือสภาวะทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน ตารางเปรียบเทียบระหว่าง Freelance, Outsource และพนักงานประจำหัวข้อFreelanceOutsourceพนักงานประจำรูปแบบการทำงานทำงานอิสระ เลือกโปรเจกต์เองรับงานตามสัญญาจ้างจากองค์กรทำงานประจำในองค์กรความยืดหยุ่นสูง เลือกเวลาและสถานที่เองปานกลาง ยืดหยุ่นบางส่วนต่ำ (ขึ้นอยู่กับนโยบายองค์กร)รายได้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับจำนวนงานขึ้นอยู่กับสัญญาจ้างเงินเดือนประจำสวัสดิการไม่มีสวัสดิการจากนายจ้างขึ้นอยู่กับข้อตกลงมีสวัสดิการ เช่น ประกันสุขภาพ ประกันสังคมความมั่นคงต่ำ เนื่องจากรายได้ไม่แน่นอนปานกลาง ขึ้นอยู่กับสัญญาสูง และมีโอกาสเลื่อนตำแหน่งกลยุทธ์การเลือกรูปแบบการจ้างงานเพื่อให้คุณสามารถเลือกรูปแบบการจ้างงานที่เหมาะกับองค์กรที่สุด เรามี 6 กลยุทธ์การเลือกรูปแบบการจ้างงานมาแนะนำ ดังต่อไปนี้1. วิเคราะห์ลักษณะงานก่อนที่จะตัดสินใจเลือกรูปแบบการจ้างงาน ควรเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ลักษณะของงานที่ต้องการอย่างละเอียด โดยหากเป็นงานที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในระยะสั้น การจ้าง Freelance หรือ Outsource ก็อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ในทางกลับกัน หากเป็นงานที่ต้องการความต่อเนื่องและสอดคล้องกับเป้าหมายองค์กรในระยะยาว การจ้างพนักงานประจำก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า2. ดูงบประมาณและต้นทุนเมื่อกำหนดลักษณะงานได้แล้ว สิ่งสำคัญในลำดับถัดมาคือการพิจารณาถึงงบประมาณและต้นทุน ซึ่งการจ้าง Freelance หรือ Outsource มักจะช่วยลดต้นทุนด้านสวัสดิการและค่าจ้างในระยะยาวได้ แต่หากองค์กรต้องการที่จะสร้างทีมงานที่มีความมั่นคงและเติบโตไปด้วยกัน การลงทุนกับพนักงานประจำก็อาจให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ามากกว่า 3. มองผลกระทบต่อองค์กรนอกจากเรื่องของงบประมาณแล้ว ยังจำเป็นต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อองค์กรในระยะยาวด้วย ทั้งนี้ การใช้ Freelance และ Outsource อาจช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมองค์กรและความต่อเนื่องของงาน ในขณะที่พนักงานประจำ สามารถช่วยสร้างความเป็นทีมและเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้ดีกว่า4. วางระบบบริหารจัดการเมื่อตัดสินใจเลือกใช้การจ้างงานรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งแล้ว ทางบริษัทเองก็จำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการที่เหมาะสมรองรับ โดยหากเลือกใช้ Freelance หรือ Outsource องค์กรจะต้องมีโครงสร้างการสื่อสารที่ชัดเจน พร้อมทั้งมีแพลตฟอร์มสำหรับติดตามผลลัพธ์การทำงาน ในขณะที่หากเลือกจ้างในลักษณะพนักงานประจำ ก็ควรมีระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลเพื่อช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด5. ตั้งเกณฑ์วัดผลเพื่อให้มั่นใจว่าการจ้างงานแต่ละรูปแบบให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า องค์กรควรกำหนด Key Performance Indicators (KPIs) ที่ชัดเจนและเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของคุณภาพงาน ประสิทธิภาพในการทำงาน หรือความพึงพอใจของพนักงาน โดยจำเป็นต้องปรับเกณฑ์ให้เหมาะสมกับแต่ละประเภทของพนักงาน เช่น Freelance อาจวัดจากความตรงต่อเวลาและคุณภาพของโปรเจกต์ ในขณะที่พนักงานประจำอาจพิจารณาจากความก้าวหน้าและการมีส่วนร่วมในองค์กร6. เตรียมแผนสำรองท้ายที่สุดแล้ว องค์กรควรเตรียมแผนสำรองเพื่อรับมือกับปัญหาหรือความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น กล่าวคือ หากใช้ Freelance หรือ Outsource ก็ควรมีเครือข่ายของผู้ให้บริการหลายรายเพื่อรองรับงานในกรณีฉุกเฉิน ส่วนในการบริหารพนักงานประจำ ก็ควรมีแผนพัฒนาทักษะและโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพManpower ในฐานะบริษัท Recruitment ระดับโลกที่มีประสบการณ์การให้บริการครอบคลุมถึง 75 ประเทศทั่วโลก พร้อมด้วย 8 สำนักงานในประเทศไทย เราพร้อมให้บริการจัดหาบุคลากรแบบครบวงจร ทั้ง Freelance, พนักงาน Outsource และพนักงานประจำ รวมถึงให้คำปรึกษาและวิเคราะห์รูปแบบการจ้างงานที่เหมาะสม เพื่อให้คุณได้บุคลากรที่มีคุณภาพและตรงตามเป้าหมายองค์กรอย่างแท้จริง สนใจรับคำปรึกษาหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อเราได้เลยวันนี้ข้อมูลอ้างอิงOutsourcing vs. Hiring a Freelancer—benefits and drawbacks. สืบค้นเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 จาก https://www.linkedin.com/pulse/outsourcing-vs-hiring-freelancerbenefits-drawbacks-isourceout
-
แมนพาวเวอร์ชวนส่องวันหยุดยาว 2568 หาแพลนเที่ยวเสริมกำลังใจทำงาน!
29 January 2025 เมื่อปีใหม่เริ่มต้นขึ้น หลายคนมักจะเริ่มวางแผนการเดินทางและวันหยุดยาวเพื่อให้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศที่ต้องการใช้วันหยุดให้คุ้มค่าที่สุด ในปี 2568 นี้ แมนพาวเวอร์ ได้รวบรวมวันหยุดยาวที่น่าสนใจมากมายที่จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนวันลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมาฝากทุกคนกันค่ะ!วันหยุดเดือนมกราคม 2568วันพุธที่ 1 มกราคม วันขึ้นปีใหม่วันหยุดเดือนกุมภาพันธ์ 2568วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ วันมาฆบูชา ลาวันที่ 11-12 พฤษภาคม เพิ่ม 2 วัน = หยุด 5 วันวันหยุดเดือนมีนาคม 2568เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากค่ะ แต่เรา..ไม่มีวันหยุดราชการในเดือน มีนาคม 2568วันหยุดเดือนเมษายน 2568วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน วันจักรี หรือวันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน วันสงกรานต์วันจันทร์ที่ 14 เมษายน วันสงกรานต์วันอังคารที่ 15 เมษายน วันสงกรานต์วันหยุดเดือนพฤษภาคม 2568วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม วันแรงงานแห่งชาติลาวันที่ 2 พฤษภาคม เพิ่ม 1 วัน = หยุด 5 วันวันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม วันฉัตรมงคลวันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม ชดเชยวันฉัตรมงคลวันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม วันวิสาขบูชาวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม ชดเชยวันวิสาขบูชาวันหยุดเดือนมิถุนายน 2568วันอังคารที่ 3 มิถุนายน วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชีนีทำให้หยุดต่อเนื่อง 4 วัน 31 พฤษภาคม - 3 มิถุนายนวันหยุดเดือนกรกฎาคม 2568วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม วันอาสาฬหบูชาวันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม วันเข้าพรรษาวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัววันหยุดเดือนสิงหาคม 2568จันทร์ที่ 11 ส.ค.68 วันหยุดเพิ่มเติม ทำให้หยุดต่อเนื่อง 4 วัน 9-12 สิงหาคม คลิกอ่านข่าวเพิ่มเติมวันอังคารที่ 12 วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติวันหยุดเดือนกันยายน 2568ไม่มีวันหยุดราชการในเดือน กันยายน 2568วันหยุดเดือนตุลาคม 2568วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรวันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม วันปิยมหาราชวันหยุดเดือนพฤศจิกายน 2568ไม่มีวันหยุดราชการในเดือนพฤศจิกายน 2568วันหยุดเดือนธันวาคม 2568วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติวันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญวันพุธที่ 31 ธันวาคม วันสิ้นปี
-
เช็กให้ครบ! เงื่อนไข Easy E-Receipt 2.0 เพื่อลดหย่อนภาษี ปี 2568
9 January 2025 ช่วงต้นปีแบบนี้ ใครที่กำลังมองหาโครงการเพื่อนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษี ในปีนี้รัฐบาลได้จัดตั้งโครงการใหม่เข้ามาแทน นั่นก็คือ “Easy E-receipt 2.0” เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีให้สูงสุดถึง 50,000 บาท! โดยจะต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) หรือใบเสร็จในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Receipt) ผ่านระบบของกรมสรรพากรเท่านั้นค่ะโครงการ Easy E-Receipt 2.0 มาตรการลดหย่อนภาษีใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมสนับสนุนผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 50,000 บาท และมีการปรับเงื่อนไขที่เหมาะสมมากขึ้น เพื่อให้การใช้จ่ายสะดวกและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นมาตรการ “Easy E-Receipt 2.0” ให้สิทธิประโยชน์อะไร?ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการในราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 - วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ได้สูงสุด 50,000 บาท มนุษย์เงินเดือนต้องรู้! คำนวนภาษียังไง อะไรลดหย่อนได้บ้าง?ความแตกต่างของ Easy E-Receipt 2.0จากโครงการในปีที่ผ่านมา Easy E-Receipt 2.0 ปี 2568 ยังคงวงเงินลดหย่อนไว้สูงสุด 50,000 บาท แต่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่:30,000 บาท สำหรับสินค้าและบริการทั่วไป20,000 บาท สำหรับสินค้าจากวิสาหกิจชุมชน ร้านค้า SMEs และสินค้า OTOPสินค้าและบริการที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ ซื้ออะไรได้บ้าง?ลดหย่อนภาษี 30,000 บาทซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มซื้อสินค้า หรือรับบริการจากร้านค้าที่ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ต้องเป็นค่าซื้อสินค้า หรือบริการดังนี้ และมี E-Receipt เป็นหลักฐานค่าซื้อหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (e-Book)ลดหย่อนภาษี 20,000 บาทซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้วซื้อสินค้าหรือรับบริการจากวิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรซื้อสินค้าหรือรับบริการจากวิสาหกิจเพื่อสังคมที่จดทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมที่สำคัญ!!! ต้องมีหลักฐานการชำระเงินเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เท่านั้นสินค้าและบริการที่ไม่เข้าร่วม “Easy E-Receipt 2.0”สุรา เบียร์ และไวน์ยาสูบน้ำมัน ก๊าซ และค่าบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับเติมยานพาหนะรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ (รถจักรยานยนต์ รวมถึงรถจักรยานที่ติดเครื่องยนต์) และ เรือค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์และ ค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตค่าบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการและผู้รับบริการสามารถใช้บริการดังกล่าว นอกเหนือจาก 16 ม.ค. - 28 ก.พ. 2568ค่าเบี้ยประกันวินาศภัยค่าที่พัก โรงแรม ค่าที่พักโฮมสเตย์ไทย หรือค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรมท่านสามารถตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ และสินค้าที่ไม่เข้าร่วมโครงการลดหย่อนภาษี ได้ที่ เว็บไซต์สรรพากรจะรู้ได้อย่างไรว่าจะได้เงินภาษีคืนเท่าไหร่?สำหรับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะได้เงินภาษีคืนเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินได้ และอัตราภาษีของแต่ละบุคคลเงินได้ต่อปีไม่เกิน 150,000 บาท (ได้รับการยกเว้นภาษี) ไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการนี้ได้เงินได้ต่อปี 150,001 – 300,000 บาท ลดหย่อนภาษีสูงสุด 2,500 บาทเงินได้ต่อปี 300,001 – 500,000 บาท ลดหย่อนภาษีสูงสุด 5,000 บาทเงินได้ต่อปี 500,001 – 750,000 บาท ลดหย่อนภาษีสูงสุด 7,500 บาทเงินได้ต่อปี 750,001 – 1,000,000 บาท ลดหย่อนภาษีสูงสุด 10,000 บาทเงินได้ต่อปี 1,000,001 – 2,000,000 บาท ลดหย่อนภาษีสูงสุด 12,500 บาทเงินได้ต่อปี 2,000,001 – 5,000,000 บาท ลดหย่อนภาษีสูงสุด 15,000 บาทเงินได้ต่อปี 5,000,001 บาทขึ้นไป ลดหย่อนภาษีสูงสุด 17,500 บาทวิธีใช้สิทธิ์และเอกสารที่ต้องเตรียมใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice): ต้องระบุชื่อผู้ซื้อ-ขาย และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt): ต้องมีรายละเอียดสินค้าและข้อมูลการซื้อครบถ้วนผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการต้องแจ้งข้อมูลใดให้ผู้ประกอบการใช้ออก E-Tax Invoice หรือ e-Receipt?1) ชื่อและนามสกุล 2) ที่อยู่ 3) เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลขประจำตัวประชาชน) เมื่อแจ้งข้อมูลส่วนบุคคลถูกต้องครบถ้วนแล้ว ข้อมูลการซื้อสินค้าและการรับบริการจะปรากฏ ใน My Tax Account ของผู้เสียภาษี และสามารถใช้ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2568 (ยื่นช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม 2569)สามารถตรวจสอบรายชื่อร้านค้าที่ได้รับอนุมัติให้ออก e-Tax Invoice หรือ e-Receiptได้ที่ไหน ?สามารถตรวจสอบรายชื่อร้านค้าที่ได้รับอนุมัติให้ออก e-Tax Invoice หรือ e-Receipt ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร https://etax.rd.go.th/ETAXSEARCH/normal_person.html ได้ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค. 2568ข้อมูลอ้างอิง: กรมสรรพากร, iTAX
-
สีเสื้อมงคลปี 2568 เสริมดวงการงาน การเงิน ความรักแบบจัดเต็ม!
24 December 2024 ในยุคที่การเสริมดวงกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของหลาย ๆ คน การเลือกสีเสื้อที่เหมาะสมกับวันหรือโอกาสสำคัญก็ถือเป็นเคล็ดลับที่ช่วยเสริมพลังชีวิตได้อย่างดี โดยเฉพาะสำหรับวัยทำงานที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัวปี 2568 นี้ หมอไก่ พ. พาทินี นักพยากรณ์ชื่อดัง ได้เผยสีเสื้อมงคลที่ช่วยเสริมดวงในด้านต่าง ๆ ทั้งการงาน การเงิน ความรัก และสุขภาพ มาเริ่มต้นปีด้วยพลังบวกและความมั่นใจกันเถอะ!สีเสื้อมงคลวันอาทิตย์การงาน โชคดี: สีเขียวการเงิน : สีดำ สีม่วงเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีเทาสีต้องห้าม : สีน้ำเงินสีเสื้อมงคลวันจันทร์การงาน โชคดี: สีดำ สีม่วงการเงิน : สีส้ม สีน้ำตาลเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีฟ้า สีน้ำเงินสีต้องห้าม : สีแดงสีเสื้อมงคลวันอังคารการงาน โชคดี: สีส้ม สีน้ำตาลการเงิน : สีเทาเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีแดงสีต้องห้าม : สีขาวสีเสื้อมงคลวันพุธการงาน โชคดี: สีเทาการเงิน : สีฟ้า สีน้ำเงินเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีเหลือง สีขาวสีต้องห้าม : สีชมพูสีเสื้อมงคลวันพฤหัสบดีการงาน โชคดี: สีแดงการเงิน : สีเหลือง สีขาวเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีเขียวสีต้องห้าม : สีดำ สีม่วงสีเสื้อมงคลวันศุกร์การงาน โชคดี: สีชมพูการเงิน : สีเขียวเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีส้ม สีน้ำตาลสีต้องห้าม : สีเทาสีเสื้อมงคลวันเสาร์การงาน โชคดี: สีฟ้า สีน้ำเงินการเงิน : สีแดงเสริมเสน่ห์ เมตตา : สีชมพูสีต้องห้าม : สีเขียววิธีเลือกใช้สีเสื้อมงคลให้เหมาะกับคุณ1. เลือกสีที่เหมาะกับโอกาสพิจารณาว่าคุณต้องการเสริมดวงด้านไหนในแต่ละวัน เช่น การงาน การเงิน หรือความรัก แล้วเลือกสีที่เหมาะสม2. ใช้สีเสริมในเครื่องประดับถ้าไม่อยากใส่เสื้อสีมงคลทั้งตัว ลองใช้สีเหล่านี้ในกระเป๋า ผ้าพันคอ หรือเครื่องประดับแทน3. อย่าลืมใส่ความมั่นใจการเสริมดวงด้วยสีเสื้อคือการเพิ่มพลังบวก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความมั่นใจในตัวเองเสริมดวงให้ปัง เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยสีที่ใช่สีเสื้อมงคลปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงแค่เคล็ดลับเสริมดวง แต่ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจและความมั่นใจในทุกวัน ลองเลือกสีที่เหมาะกับคุณและเปลี่ยนวันธรรมดาให้กลายเป็นวันแห่งโอกาสกันเถอะ!พร้อมเสริมดวงให้ชีวิตคุณปังตลอดปีหรือยัง? มาเลือกสีเสื้อมงคลแล้วลุยกันเลย!ถ้าคุณกำลังมองหางานที่ใช่ พร้อมเสริมดวงให้ทั้งการงานและชีวิตส่วนตัว อย่ารอช้า! มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับโอกาสดี ๆ ที่ ManpowerGroup Thailand เรามีตำแหน่งงานหลากหลายให้คุณเลือก ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้น หรือกำลังมองหาก้าวถัดไปในอาชีพของคุณ สมัครงานกับเราง่าย ๆ ได้ที่ xxx ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการพาคุณสู่อนาคตที่สดใส และดวงเฮงตลอดปี 2568!
-
เงินเดือนเท่าไรเสียภาษี ? สิทธิลดหย่อนภาษีที่ HR ควรรู้
17 December 2024 เพราะการทำงานและผลตอบแทนจากเงินเดือนเป็นสิ่งสำคัญของพนักงาน ฝ่าย HR ที่รับผิดชอบดูแลเรื่องการเงินและสวัสดิการ จึงต้องคอยอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับภาษีให้กับเหล่าพนักงานทุกคน โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มงานหรือยังไม่เข้าใจเรื่องภาษีอย่างถ่องแท้ เพราะอาจมีข้อสงสัยว่า ใครบ้างที่ต้องเสียภาษี ? หรือต้องมีฐานเงินเดือนเท่าไรที่เข้าข่ายเสียภาษีการเข้าใจเรื่องภาษีอย่างรอบด้าน และสิทธิ์การลดหย่อนภาษีสำหรับพนักงานปี 2567 สำหรับยื่นต้นปี 2568 จะช่วยให้การวางแผนการเงินของเหล่าพนักงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นใครบ้างที่ต้องเสียภาษี ?การเสียภาษีเป็นหน้าที่พื้นฐานของประชาชนตามกฎหมาย ซึ่งทุกคนที่มีรายได้จะต้องยื่นภาษีตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามกฎหมายของประเทศไทย บุคคลที่มีรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี (หรือเฉลี่ยประมาณ 26,583.33 บาทต่อเดือน) ไม่จำเป็นต้องเสียภาษี แต่จะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีปีละครั้งภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไปรายได้เท่าไหร่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ?แต่หากสงสัยว่า รายได้เท่าไหร่เสียภาษี ? การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะขึ้นอยู่กับระดับของรายได้สุทธิ ซึ่งเป็นรายได้ทั้งหมดที่หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว โดยอัตราภาษีที่ใช้คำนวณมีหลายระดับ ดังนี้อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้สุทธิอัตราภาษีไม่เกิน 150,000 บาท0% (ไม่ต้องเสียภาษี)150,001 - 300,000 บาท5%300,001 - 500,000 บาท10%500,001 - 750,000 บาท15%750,001 - 1,000,000 บาท20%1,000,001 - 2,000,000 บาท25%2,000,001 - 5,000,000 บาท30%5,000,001 บาท ขึ้นไป35%เงินได้สุทธิที่ใช้ในการคำนวณภาษีจะเป็นรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนภาษีที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการคำนวณภาษีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพQ&A เกี่ยวกับการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาQ : เอกสารประกอบการยื่นแบบมีอะไรบ้าง ?สำหรับพนักงานที่มีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว จะต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 91 โดยเอกสารประกอบหลักคือ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการยื่นภาษี หากมีการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม เช่น ประกันชีวิต กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือใบอนุโมทนาบัตร ก็สามารถนำมารวมในการยื่นภาษีได้Q : สามารถยื่นภาษีด้วยวิธีไหนได้บ้าง ?การยื่นภาษีสามารถทำได้หลายช่องทาง ดังนี้ยื่นภาษีออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร http://www.rd.go.th/ ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและง่ายที่สุดยื่นภาษีผ่านแอปพลิเคชัน RD Smart Tax (iOS/Android) ทำให้สามารถยื่นภาษีได้ทุกที่ทุกเวลสามารถใช้วิธีลดหย่อนภาษี ได้จากอะไรบ้าง ?การยื่นภาษีปี 2567 ที่ต้องยื่นในช่วงต้นปี 2568 ผู้เสียภาษีสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้หลายรูปแบบ ทั้งจากค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายของครอบครัว และการลงทุนต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด โดยมีรายละเอียดดังนี้1. ค่าลดหย่อนทั่วไปค่าลดหย่อนส่วนตัว : ลดหย่อนได้ 60,000 บาท สำหรับตัวเองหรือผู้ที่อาศัยร่วมในครัวเรือนค่าลดหย่อนบิดามารดา : ลดหย่อนได้ 30,000 บาทต่อคน สำหรับบิดามารดาที่อายุเกิน 60 ปี และมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทค่าลดหย่อนคู่สมรส : ลดหย่อนได้ 60,000 บาท หากคู่สมรสจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีรายได้ (จำกัด 1 คน)ค่าลดหย่อนสำหรับบุตร : บุตรคนแรกลดหย่อนได้ 30,000 บาท บุตรคนที่สองเป็นต้นไป ที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาทค่าลดหย่อนภาษีอุปการะผู้พิการหรือบุคคลทุพพลภาพ : ลดหย่อนได้ 60,000 บาทต่อคน โดยผู้พิการจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และมีบัตรประจำตัวผู้พิการ รวมถึงจะต้องมีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร : ลดหย่อนได้สูงสุดครรภ์ละ 60,000 บาท หากทั้งสามีและภรรยายื่นภาษีทั้งคู่ จะให้สิทธิลดหย่อนนี้แก่ภรรยาเท่านั้น2. ค่าลดหย่อนกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุนเงินประกันสังคม : ลดหย่อนได้สูงสุด 9,000 บาทประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์ : ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท* โดยกรมธรรม์ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองอย่างน้อย 10 ปีประกันสุขภาพ : ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท* รวมถึงค่าประกันสุขภาพที่จ่ายให้พ่อแม่ ลดหย่อนได้สูงสุดคนละ 15,000 บาทกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) : ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาทกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) : ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาทกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) : ลดหย่อนได้สูงสุด 30,000 บาทกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ : ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท*ประกันชีวิต ประกันสะสมทรัพย์ และสุขภาพ ต้องรวมกันไม่เกิน 100,000 บาท3. ค่าลดหย่อนอื่น ๆการบริจาค : ลดหย่อนได้สูงสุด 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน สำหรับการบริจาคให้กับองค์กรสาธารณกุศลที่ได้รับการรับรองเงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม : ลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนEasy e-Receipt 2567 : ลดหย่อนได้สูงสุด 50,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าหรือบริการที่มีใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ค่าลดหย่อนเที่ยวเมืองรอง 2567 : ลดหย่อนได้สูงสุด 15,000 บาท สำหรับการท่องเที่ยวในจังหวัดรอง 55 จังหวัดค่าสร้างบ้านใหม่ 2567-2568 : ลดหย่อนได้ 10,000 บาท ต่อทุก 1 ล้านบาทของค่าก่อสร้าง (รวม VAT) สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทบริการ Payroll Service : ตัวช่วยของเหล่าพนักงาน ง่ายต่อการยื่นภาษีการใช้บริการ Payroll Service หรือบริการรับทำเงินเดือน เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับธุรกิจที่ต้องการลดภาระงานด้านการเงินและบุคลากร ซึ่งการใช้บริการนี้ จะสามารถช่วยให้ธุรกิจไปโฟกัสกับงานหลักได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งการจ้างผู้เชี่ยวชาญในการคำนวณและจัดการเรื่องเงินเดือน ยังจะช่วยให้เหล่าพนักงานเห็นภาพรวมของรายได้ และง่ายต่อการนำไปยื่นเรื่องภาษีได้อย่างถูกต้อง จึงเพิ่มความสะดวกสบายและลดความผิดพลาดในการคำนวณภาษีให้กับพนักงานนอกจากนี้ การใช้บริการ Payroll Outsourcing ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานฝ่ายการเงินภายในองค์กร ซึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ อีกด้วย การเข้าใจเรื่องที่ต้องรู้ ระหว่างเรื่องเงินเดือนกับภาษีจึงเป็นของคู่กัน ทั้งยังเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เหล่าพนักงานสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการคำนวณเงินเดือน หรืออยากช่วยอำนวยความสะดวกด้านการจ่ายภาษีให้แก่พนักงาน สามารถใช้บริการ Payroll Service หรือรับทำ Payroll Service จาก Manpower หมดกังวลเรื่องข้อมูลด้านผลตอบแทนรั่วไหล เราพร้อมบริการจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 70 ปี สนใจรับคำปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อเราได้เลยวันนี้ข้อมูลอ้างอิงเงินเดือนเท่าไหร่ถึงต้องเสียภาษี 2567 ? พร้อมวิธีคำนวณภาษี. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 จาก https://www.moneybuffalo.in.th/tax/income-taxสรุปวิธีคำนวณภาษี ปี 2567: จับมือสอนตั้งแต่เริ่มต้น ครบจบทุกขั้นตอน. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 จาก https://www.finnomena.com/z-admin/tax-computation
-
ผลสำรวจแนวโน้มอัตราการจ้างงาน ไตรมาสที่ 1/2568
10 December 2024 แนวโน้มการจ้างงานทั่วโลกสำหรับไตรมาสแรกปี 2025: คงตัวแม้ตลาดแรงงานชะลอตัวทิศทางการจ้างงานในไตรมาสแรกของปี 2025 ยังคงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่สี่ของปี 2024 แต่ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนถึงการปรับตัวของตลาดแรงงานที่เย็นลงภูมิภาคอเมริกายังคงเป็นผู้นำด้านการจ้างงานด้วยดัชนีแนวโน้มการจ้างงาน (Net Employment Outlook: NEO) ที่ 29% ตามมาด้วยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ 27% และยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) ที่ 19%ภาคเทคโนโลยีสารสนเทศยังคงเป็นภาคที่มีแนวโน้มการจ้างงานสูงสุดที่ 37% ตามด้วยภาคการเงินและอสังหาริมทรัพย์ที่ 33% และภาคสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพที่ 27%องค์กรขนาดใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนการจ้างงาน โดยองค์กรที่มีพนักงาน 250-999 คนรายงาน NEO สูงสุดที่ 31%แนวโน้มการจ้างงานทั่วโลกยังคงเสถียรภาพในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 โดยนายจ้างรายงานดัชนี NEO อยู่ที่ 25% ตามรายงานล่าสุดจากแบบสำรวจแนวโน้มการจ้างงาน (ManpowerGroup Employment Outlook Survey) ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากนายจ้างกว่า 40,000 รายใน 42 ประเทศ ระหว่างวันที่ 1-31 ตุลาคม 2024 โดยผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า NEO ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลงเล็กน้อย 1 จุดเปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาความเห็นจาก Jonas Prising ประธานและซีอีโอของ ManpowerGroup"เมื่อเข้าสู่ปี 2025 เราพบแนวโน้มการจ้างงานที่คงตัว โดยนายจ้างยังคงรักษาบุคลากรที่มีอยู่และวางแผนการจ้างงานในระดับที่ระมัดระวังสำหรับไตรมาสข้างหน้า การผันผวนที่เกิดขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมากำลังเริ่มเสถียรภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านายจ้างได้ปรับตัวกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและกำลังวางแผนทรัพยากรมนุษย์อย่างรอบคอบ"ประเด็นสำคัญที่ค้นพบดัชนี NEO ทั่วโลกคงตัวที่ 25% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลงเล็กน้อย 1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาประเทศที่มีแนวโน้มการจ้างงานสูงสุด ได้แก่ อินเดีย (40%) สหรัฐอเมริกา (34%) และเม็กซิโก (32%) ในขณะที่อาร์เจนตินารายงานแนวโน้มการจ้างงานที่ต่ำสุด (-1%)ภาค IT (37%) การเงินและอสังหาริมทรัพย์ (33%) และสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (27%) มีแนวโน้มการจ้างงานที่แข็งแกร่งที่สุดทำความเข้าใจกับดัชนีแนวโน้มการจ้างงานสุทธิ (NEO)NEO เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนแนวโน้มของตลาดแรงงาน โดยคำนวณจากเปอร์เซ็นต์ของนายจ้างที่มีแผนจ้างงาน หักลบด้วยเปอร์เซ็นต์ของนายจ้างที่มีแผนลดจำนวนพนักงาน ซึ่งทำให้เป็นดัชนีที่เชื่อถือได้สำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มการจ้างงานทั่วโลกแนวโน้มการจ้างงานตามภูมิภาคอเมริกา: NEO ที่ 29% เพิ่มขึ้น 1 จุดจากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 3 จุดเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกเป็นผู้นำด้านแนวโน้มการจ้างงานเอเชียแปซิฟิก: NEO ที่ 27% คงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ลดลง 3 จุดจากปีก่อน อินเดียยังคงเป็นประเทศที่มีแนวโน้มการจ้างงานสูงสุดในโลกยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา: NEO ที่ 19% ลดลง 2 จุดจากไตรมาสก่อนและ 1 จุดเมื่อเทียบกับปีก่อนแม้ตลาดแรงงานทั่วโลกจะชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ภาคส่วนสำคัญ เช่น IT และองค์กรขนาดใหญ่ยังคงมีการจ้างงานในระดับที่มั่นคง สะท้อนถึงความต้องการบุคลากรที่มีทักษะสูงในตลาดแรงงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงหากต้องการดูข้อมูลผลสำรวจแนวโน้มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) สามารถติดตามได้ที่ลิ้งก์นี้ และรอติดตามการสำรวจครั้งถัดไปในเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งจะเผยแนวโน้มการจ้างงานสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2568กรอกข้อมูลของท่าน เพื่อดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม
-
เด็กจบใหม่ vs. คนมีประสบการณ์ บริษัทควรเลือกใครเข้าทำงาน ?
22 November 2024 การตัดสินใจเลือกพนักงานเข้าร่วมทีมถือเป็นหนึ่งในงานที่สำคัญที่สุดของฝ่ายบุคคล เพราะบุคลากรที่มีคุณภาพ คือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องพิจารณาว่า ควรเลือกระหว่าง "เด็กจบใหม่" ที่มีไฟและความคิดสร้างสรรค์เต็มเปี่ยม หรือ "คนที่มีประสบการณ์" ที่มีความเชี่ยวชาญและพร้อมลุยงานได้ทันที ฝ่ายบุคคลหรือ HR อาจเกิดความสับสนและลังเลใจว่าควรเลือกใครดี ?เด็กจบใหม่ : พลังงานและความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัดในตลาดหางานปัจจุบัน เด็กจบใหม่มีจำนวนมากขึ้น ถ้ามองในแง่ของการลงทุนระยะยาว พวกเขาเปรียบเหมือนแผ่นกระดาษเปล่าที่พร้อมจะถูกเติมแต่งและหล่อหลอมให้เติบโตไปพร้อมกับองค์กร แม้อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนา แต่ก็มาพร้อมกับศักยภาพที่น่าสนใจหลายด้าน ดังนี้ข้อดีความคิดสร้างสรรค์ - เด็กจบใหม่มักมาพร้อมกับมุมมองที่แปลกใหม่และไอเดียที่สดใส เนื่องจากยังไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบความคิดแบบเดิม ๆ จึงกล้าที่จะนำเสนอไอเดียแหวกแนวที่สามารถต่อยอดเป็นโปรเจกต์ต่าง ๆ ให้แก่องค์กรได้ความสามารถในการเรียนรู้ - ด้วยความที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกการทำงาน เด็กจบใหม่จึงมักกระหายที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อีกทั้งยังสามารถซึมซับและปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างรวดเร็ว เพราะยังไม่มีความเคยชินกับรูปแบบการทำงานแบบเดิม ๆต้นทุนต่ำ - เมื่อเทียบกับพนักงานที่มีประสบการณ์ การรับเด็กจบใหม่มีค่าใช้จ่ายในการจ้างงานที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้องค์กรมีความยืดหยุ่นในการบริหารต้นทุนมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า หากได้รับการพัฒนาอย่างถูกทางความกระตือรือร้น - เด็กจบใหม่มักมาพร้อมกับพลังและไฟในการทำงานที่เต็มเปี่ยม นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเอง จึงทุ่มเทให้แก่งานอย่างเต็มที่และพร้อมที่จะเรียนรู้พัฒนาตนเองอยู่เสมอข้อจำกัดขาดประสบการณ์ - แน่นอนว่าการที่ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์การทำงานจริงมาก่อน ทำให้ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และปรับตัวพอสมควร รวมถึงอาจเกิดข้อผิดพลาดในการทำงานได้บ่อยครั้งในช่วงแรกขาดทักษะเฉพาะทาง - เนื่องจากเพิ่งจบการศึกษามา เด็กจบใหม่บางคนจึงอาจยังขาดทักษะเฉพาะด้านที่จำเป็นสำหรับการทำงาน ซึ่งองค์กรจำเป็นต้องลงทุนทั้งเวลาและทรัพยากรในการฝึกอบรมเพิ่มเติมคนที่มีประสบการณ์ : ความเชี่ยวชาญและความพร้อมคนที่มีประสบการณ์เปรียบเสมือนอาวุธลับขององค์กร ที่พร้อมจะเข้ามาแก้ไขปัญหาและผลักดันเป้าหมายให้สำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความรู้และทักษะที่สั่งสมมา ทำให้มีทั้งจุดแข็งและข้อจำกัดที่น่าสนใจ ดังนี้ข้อดีประสบการณ์ - คนที่ผ่านงานมามาก จะมีความเชี่ยวชาญจากการลงมือทำจริง สามารถเริ่มงานได้ทันทีและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการทำงานผิดพลาดได้เป็นอย่างดีทักษะเฉพาะทาง - ผู้มีประสบการณ์จะมีความชำนาญและทักษะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานนั้น ๆ อย่างครบถ้วน ทำให้องค์กรไม่ต้องลงทุนเพิ่มในการฝึกอบรมมากนัก และสร้างผลลัพธ์ได้ตามเป้าหมายอย่างรวดเร็วเครือข่าย - มืออาชีพที่อยู่ในวงการมานาน มักมีคอนเน็กชันที่กว้างขวาง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการประสานงาน การขยายโอกาสทางธุรกิจ และการแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆความมั่นใจ - คนที่มีประสบการณ์ทำงาน จะเชื่อมั่นในการตัดสินใจและทำงานได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องรอคำสั่งหรือการกำกับดูแลมากนัก ทำให้งานเดินหน้าได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วข้อจำกัดค่าใช้จ่ายสูง - ผู้ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูง มักคาดหวังในเรื่องค่าตอบแทนและสวัสดิการที่สูงตามไปด้วย ซึ่งอาจเป็นภาระด้านต้นทุนที่สำคัญขององค์กรความยืดหยุ่น - คนที่มีประสบการณ์การทำงานมายาวนาน บางคนอาจยึดติดกับรูปแบบการทำงานแบบเดิม ๆ จึงต้องใช้เวลาปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรหรือแนวคิดใหม่ ๆระหว่างเด็กจบใหม่กับคนมีประสบการณ์ ควรเลือกใครดี ?เมื่อรู้จุดแข็งและข้อจำกัดของพนักงานทั้ง 2 รูปแบบแล้ว คำถามสำคัญคือ "แล้วควรเลือกใคร ?" คำตอบคือ ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เพราะการตัดสินใจนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่องค์กรต้องพิจารณาให้รอบด้าน ดังนี้ตำแหน่งงาน ลักษณะงานเป็นตัวกำหนดที่สำคัญ โดยงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์และมุมมองใหม่ ๆ มักเหมาะกับเด็กจบใหม่ที่กล้าคิดนอกกรอบ ในขณะที่งานที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือการตัดสินใจที่ซับซ้อน ก็เหมาะกับคนที่มีประสบการณ์มากกว่าวัฒนธรรมองค์กร บริษัทที่เน้นการพัฒนาบุคลากรระยะยาวและเปิดกว้างสำหรับไอเดียใหม่ ๆ มักให้โอกาสเด็กจบใหม่ได้เติบโต ส่วนองค์กรที่ต้องการความเสถียรและผลลัพธ์ที่ชัดเจน อาจเลือกคนที่มีประสบการณ์มาขับเคลื่อนเป้าหมายให้สำเร็จงบประมาณเพดานงบประมาณที่มีเป็นตัวกำหนดทางเลือกที่สำคัญ โดยการรับเด็กจบใหม่อาจเหมาะกับองค์กรที่มีงบจำกัดแต่พร้อมลงทุนด้านการพัฒนา ขณะที่การจ้างคนมีประสบการณ์แม้จะมีต้นทุนสูง แต่อาจคุ้มค่าหากต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วความเร่งด่วนในสถานการณ์ที่ต้องการคนเข้ามาแก้ปัญหาหรือรับผิดชอบงานสำคัญทันที การเลือกคนที่มีประสบการณ์อาจเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า แต่หากมีเวลาเรียนรู้และพัฒนา การให้โอกาสเด็กจบใหม่ก็อาจสร้างความคุ้มค่าในระยะยาวเคล็ดลับในการตัดสินใจเลือกแม้ว่าทั้งการรับเด็กจบใหม่และคนมีประสบการณ์จะมีข้อดีที่แตกต่างกัน แต่การจะเลือกใครสักคนเข้ามาทำงานในตำแหน่งนั้น ๆ อย่างเหมาะสมที่สุด HR จำเป็นต้องมีกระบวนการคัดเลือกที่รอบคอบ โดยมีเคล็ดลับสำคัญที่เราอยากแนะนำดังนี้กำหนดคุณสมบัติที่ต้องการ ก่อนเริ่มกระบวนการสรรหา ต้องระบุความต้องการให้ชัดเจนว่าตำแหน่งนี้ต้องการทักษะ ความรู้ และคุณสมบัติใดบ้าง รวมถึงอะไรคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ (Must-have) และอะไรคือสิ่งที่มีก็ดี หรือไม่มีก็ได้ (Nice-to-have) เพื่อให้การคัดกรองผู้สมัครมีทิศทางที่ชัดเจนสัมภาษณ์อย่างละเอียดการตั้งคำถามต้องครอบคลุมทั้งด้านความสามารถและทัศนคติ โดยออกแบบคำถามให้สอดคล้องกับคุณสมบัติที่ต้องการ เช่น ถ้าต้องการคนที่แก้ปัญหาเก่ง ก็ควรให้เล่าประสบการณ์จริงที่เคยเจอ หรือให้แก้โจทย์สถานการณ์จำลอง เพื่อดูกระบวนการคิดและการตัดสินใจทดลองงานการให้ลองทำงานจริงเป็นเวลา 1-3 เดือน จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่าผู้สมัครสามารถรับมือกับความท้าทายในงานได้จริงหรือไม่ รวมถึงวัฒนธรรมการทำงานเข้ากับทีมได้ดีแค่ไหน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการตัดสินใจที่ผิดพลาดพิจารณาความสมดุลการตัดสินใจไม่ควรมองแค่ประสบการณ์หรือวุฒิการศึกษา แต่ต้องประเมินศักยภาพในการเติบโตและพัฒนาด้วย บางครั้งคนที่มีประสบการณ์น้อยแต่เรียนรู้เร็วและมีทัศนคติที่ดี อาจเหมาะสมกว่าคนที่มีประสบการณ์มากแต่ไม่ยอมปรับตัวหากองค์กรของคุณกำลังมองหาบุคลากรที่ตอบโจทย์ให้บริษัท ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีประสบการณ์ เด็กจบใหม่ หรือพนักงาน Outsource ที่ Manpower เราพร้อมช่วยคุณสรรหาคนที่ใช่ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในฐานะแบรนด์ระดับโลกที่ติดอันดับ Fortune 500 เรามีประสบการณ์ในการสรรหาบุคลากรมากกว่า 70 ปี พร้อมให้บริการครอบคลุมตั้งแต่ระดับปฏิบัติการไปจนถึงผู้บริหาร ทั้งแบบประจำและสัญญาจ้างชั่วคราว เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของธุรกิจคุณ สนใจรับคำปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อเราได้เลยวันนี้ข้อมูลอ้างอิงComparing Candidates: Should You Hire Experienced Workers or Recent College Graduates?. สืบค้นเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 จาก https://www.business.com/articles/should-you-hire-experienced-workers-or-recent-college-graduates/.
-
Probation คืออะไร ? ทุกเรื่องที่ HR และพนักงานต้องรู้
22 November 2024 ช่วงเวลาทดลองงาน (Probation) คือระยะเวลาสำคัญที่ทั้งบริษัทและพนักงานจะได้เรียนรู้และประเมินความเหมาะสมซึ่งกันและกัน เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถทำงานร่วมกันได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจยังไม่เข้าใจถึงขั้นตอนนี้อย่างถ่องแท้ ดังนั้น เราจึงจะพามาเจาะลึกถึงสิ่งที่ฝ่ายบุคคลและพนักงานควรต้องรู้ เพื่อให้ผ่านช่วงการทดลองงานไปได้อย่างราบรื่นช่วงเวลาทดลองงาน (Probation) คืออะไร ?Probation Period หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ "การทดลองงาน" คือช่วงเวลาที่ทั้งบริษัทและพนักงานใหม่จะได้มีโอกาสทำความรู้จักและประเมินซึ่งกันและกัน โดยบริษัทจะทำการประเมินความสามารถ ทักษะ และทัศนคติของพนักงานใหม่ ในขณะที่พนักงานเองก็จะได้เรียนรู้ว่าลักษณะงาน วัฒนธรรมองค์กร และสภาพแวดล้อมการทำงานนั้นตรงกับที่คาดหวังไว้หรือไม่ ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะตัดสินใจว่าเหมาะสมที่จะร่วมงานกันในระยะยาวทำไมต้องมี Probation ?ประเมินทักษะและความสามารถจริง : ถึงแม้พนักงานจะผ่านการสัมภาษณ์มาแล้ว แต่การทำงานจริงนั้นมักแตกต่างจากทางทฤษฎี ดังนั้น ช่วงทดลองงานจึงเป็นโอกาสทองที่นายจ้างจะได้เห็นทักษะและความสามารถในสภาพแวดล้อมการทำงานจริงของพนักงานใหม่ ดูความเข้ากันกับวัฒนธรรมองค์กร : เพราะวัฒนธรรมองค์กรส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพและความสุขในการทำงาน ช่วงทดลองงานจึงช่วยให้เห็นได้ชัดว่า พนักงานสามารถทำงานเป็นทีมและสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานได้ดีแค่ไหนลดความเสี่ยงการจ้างงาน : เมื่อนายจ้างได้ประเมินพนักงานอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจจ้างระยะยาว จะช่วยประหยัดในด้านทรัพยากรต่าง ๆ และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้เปิดโอกาสให้เรียนรู้และปรับตัว : ในช่วงนี้ พนักงานจะได้เรียนรู้ทั้งระบบงาน วัฒนธรรม และวิธีการทำงานต่าง ๆ พร้อมกับมีเวลาค่อย ๆ ปรับตัวให้เข้ากับองค์กรได้อย่างเป็นธรรมชาติสร้างความชัดเจนในการทำงาน : ทั้งสองฝ่ายจะได้สื่อสารถึงความคาดหวังและเป้าหมายร่วมกัน โดยพนักงานจะได้รับ Feedback อย่างสม่ำเสมอเพื่อพัฒนาตนเอง ซึ่งจะช่วยให้การทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในระยะยาวผ่านโปรฯ (Probation Period) ใช้เวลากี่เดือน ?โดยทั่วไป Probation Period หรือระยะเวลาผ่านโปรฯ คือประมาณ 3-6 เดือน อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาอาจแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่าง ๆ เช่นตำแหน่งงาน : สำหรับตำแหน่งที่ต้องการความรับผิดชอบสูงหรือเฉพาะทางมาก ๆ เช่น ผู้บริหารระดับสูง หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มักจะใช้ระยะเวลาทดลองงานที่นานขึ้น เพื่อให้มั่นใจในศักยภาพและความเหมาะสมอย่างแท้จริงขนาดขององค์กร : องค์กรขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างซับซ้อนและมีขั้นตอนการทำงานที่หลากหลาย มักต้องใช้เวลามากขึ้นในการประเมินผล เพราะต้องดูทั้งเรื่องการปรับตัวเข้ากับระบบและการทำงานร่วมกับหลายฝ่ายนโยบายของบริษัท : แต่ละองค์กรจะมีนโยบายเฉพาะเกี่ยวกับระยะเวลาทดลองงานที่แตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมองค์กร เป้าหมาย และกลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคลของแต่ละที่กฎหมายเกี่ยวกับการทดลองงานการทดลองงานนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของการประเมินผลงาน แต่ยังมีประเด็นทางกฎหมายที่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนด้วย เพื่อปกป้องสิทธิของทั้งสองฝ่ายและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต มาดูกันว่ามีประเด็นสำคัญอะไรบ้างการระบุเงื่อนไขในสัญญาจ้างนายจ้างต้องระบุเงื่อนไขการทดลองงานในสัญญาจ้างให้ชัดเจน โดยเฉพาะระยะเวลาทดลองงานที่มักกำหนดไว้ไม่เกิน 119 วัน (เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน) พร้อมทั้งต้องระบุเกณฑ์การประเมินผลงานที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม เพื่อความโปร่งใสในการพิจารณาและป้องกันข้อพิพาทในอนาคตระยะเวลาทดลองงานถึงแม้ว่ากฎหมายจะไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่ตายตัว แต่โดยมาตรฐานทั่วไปมักอยู่ที่ 3-6 เดือน ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องขยายระยะเวลา ทั้งนายจ้างและลูกจ้างควรตกลงด้วยลายลักษณ์อักษรร่วมกันการประเมินผลงานเพื่อความเป็นธรรม นายจ้างควรประเมินผลการทดลองงานอย่างเป็นทางการอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยต้องบันทึกผลเป็นลายลักษณ์อักษร มีหลักฐานการแจ้งผลและให้คำแนะนำแก่พนักงานอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการถูกฟ้องร้องเรื่องการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมในภายหลังสิทธิตามกฎหมายแรงงานเมื่อเริ่มทดลองงาน พนักงานจะมีสถานะเป็น "ลูกจ้าง" เช่นเดียวกับพนักงานประจำทันที จึงได้รับสิทธิและความคุ้มครองตามกฎหมายตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิลาป่วย ลากิจ การคุ้มครองจากประกันสังคม รวมถึงสวัสดิการต่าง ๆ ตามที่บริษัทกำหนดการบอกเลิกจ้างหากต้องการเลิกจ้างในระหว่างทดลองงาน ต้องแจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้าตามที่ระบุในสัญญา หากไม่แจ้งล่วงหน้าต้องจ่ายค่าชดเชยแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และต้องระบุเหตุผลการเลิกจ้างที่ชัดเจน เช่น ผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์ หรือกระทำผิดร้ายแรงการพิจารณาค่าชดเชยกรณีพนักงานทำงานไม่ครบ 120 วัน นายจ้างไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชย อย่างไรก็ตาม หากเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เช่น ไม่มีการประเมินผลงานที่ชัดเจน หรือเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร พนักงานมีสิทธิฟ้องร้องเพื่อขอรับค่าชดเชยตามกฎหมายได้ช่วงทดลองงานเป็นโอกาสที่ทั้งองค์กรและพนักงานจะได้ดูถึงความเหมาะสมซึ่งกันและกัน แต่ความท้าทายที่แท้จริงคือ การสรรหาคนที่ใช่ตั้งแต่แรก ที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการคัดกรองคนให้ตรงกับธุรกิจด้วยเหตุนี้ Manpower ในฐานะบริษัท Recruitment ระดับโลกที่ติดอันดับ Fortune 500 Companies จึงพร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่คุณไว้วางใจได้ ด้วยทีมงานมืออาชีพที่เข้าใจความต้องการของตลาดแรงงานอย่างลึกซึ้ง และประสบการณ์กว่า 70 ปีในการสรรหาบุคลากร พร้อมเครือข่ายที่ครอบคลุมใน 75 ประเทศทั่วโลก บริษัทจัดหางานของเราพร้อมช่วยคุณค้นหาบุคลากรที่มีคุณภาพและตรงใจ หากกำลังมองหาพนักงานเก่ง ๆ หรือต้องการคนด่วน ติดต่อเราได้เลยวันนี้ !ข้อมูลอ้างอิงไม่ผ่านการทดลองงานมีสิทธิได้รับค่าชดเชย หรือต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ ?. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 จาก https://area3.labour.go.th/2015-12-03-04-55-08/1023-ไม่ผ่านการทดลองงานมีสิทธิได้รับค่าชดเชย-หรือต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่.